หลังหลินเซินกลับมาถึงบ้านก็โทรศัพท์หาเมิ่งสืออวี่เพื่อนสนิททันที ปลายสายมีเสียงอัตโนมัติบอกว่าโทรศัพท์มือถือปิดเครื่อง ในฐานะจิตแพทย์ผู้มีความสามารถคนหนึ่ง เวลาเมิ่งสืออวี่กำลังรักษาคนไข้อยู่เธอจะปิดเครื่องเอาไว้เสมอ หลินเซินวางโทรศัพท์มือถือลงและไม่ได้โทรออกไปอีก จากนั้นก็มัดผมแล้วเดินไปที่ห้องวาดภาพ
เมื่อเช้าหลินเซินลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว พบว่าโรงแรมเหลียนถังมีสามสิบกว่าชั้น ทุกๆ ทางเดิน ห้องพัก และสถานที่ที่จำเป็นต้องแขวนรูปภาพนั้นรวมแล้วมีร้อยกว่าจุด ซึ่งหลังจากคำนวณดูแล้วตอนนี้ยังขาดอยู่อีกหลายสิบภาพ ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องเร่งทำงาน
เพราะกลัวว่าสีจะละลาย อุณหภูมิภายในห้องวาดภาพจึงต่ำกว่าห้องรับแขก ในตอนที่หลินเซินเดินไปถึงขาตั้งวาดภาพก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันไปมองยังขาตั้งตรงมุมกำแพงที่ถูกผ้าใบคลุมทับเอาไว้
ผ่านไปสักพักใหญ่เธอถึงได้ก้าวเดินต่อไปยังขาตั้งวาดภาพตัวนั้น บนผ้าใบที่คลุมอยู่มีฝุ่นจับ พอเลิกมุมหนึ่งขึ้นก็มีรูปภาพคนครึ่งหนึ่งปรากฏออกมา ปกติแล้วหลินเซินไม่วาดภาพคน แต่ภาพคนภาพนี้ก็เป็นสไตล์งานของเธอจริงๆ
ชายหนุ่มที่อยู่ในภาพมีคิ้วคม ใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางหยักยกขึ้นน้อยๆ มือข้างหนึ่งวางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ อีกมือถือแก้วกาแฟ
พื้นหลังของภาพนี้คือสวนสาธารณะ แสงแดดส่องลอดต้นไม้เกิดเป็นเงาแต่งแต้มลงบนพื้น ทว่าก็สู้ประกายในดวงตาของเขาไม่ได้ แต่รูปภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จ ฝีพู่กันหยุดลงตรงท่อนแขนของชายหนุ่ม คล้ายหนังใบ้ที่เงียบเสียงลงกะทันหัน
ชายหนุ่มที่อยู่ในภาพนี้ก็คือ ‘สามี’ ของอาจิ้งที่ได้พบกันตรงหน้าประตูโรงแรมเหลียนถังเมื่อเช้านี้
ความจริงหลินเซินเคยเจอกับเขาเมื่อนานมากแล้ว ตอนที่กำลังร่างภาพอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างผ่อนคลายโดยไม่ตั้งใจ นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของหลินเซินที่เกิดความคิดอยากวาดภาพคนขึ้นมา
ดังนั้นหญิงสาวจึงพลิกกระดาษหน้าต่อไป ใช้เขาเป็นแบบร่างภาพ แต่วาดไปได้ครึ่งทางก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มและรับแก้วกาแฟในมือของเขามา ก่อนจะคล้องแขนกันแล้วดึงตัวเขาจากไปด้วยท่าทีสนิทสนม
เด็กสาวคนนั้นไม่ใช่อาจิ้ง
ตอนนี้ชายหนุ่มบนกระดาษวาดภาพกำลังส่งยิ้มมาให้ ไม่แตกต่างอะไรกับที่เธอได้เห็นเมื่อเช้าของวันนี้ หลินเซินมองอยู่นานก่อนถอนหายใจแล้วดึงผ้าใบลงมาปิดทับ จากนั้นกลับตัวเดินจากไป
กว่าเมิ่งสืออวี่จะโทรกลับมาก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว หลินเซินที่มือหนึ่งถือพู่กันอีกมือถือถาดสีจึงต้องแนบโทรศัพท์มือถือเอาไว้กับหูโดยใช้ไหล่ช่วย “เมิ่งเมิ่ง ตอนเย็นมากินข้าวที่บ้านฉันไหม”
เหมือนเมิ่งสืออวี่จะกำลังยุ่งอยู่จึงคุยกับเธอไปพลางฝากฝังงานไปพลาง “ได้เลย วันนี้เป็นวันอะไรกัน”
“ฉันหาเงินก้อนแรกในชีวิตได้แล้ว”
เมิ่งสืออวี่ยิ้ม “เป็นวันที่สมควรจะฉลองจริงๆ” เธอลดเสียงลงและบอกให้ผู้ช่วยเอาแฟ้มประวัติของผู้ป่วยคนต่อไปเข้ามา ก่อนถือโทรศัพท์มือถือเดินไปข้างบานหน้าต่าง “แต่อากาศร้อนขนาดนี้ เธอไม่ต้องทำอาหารที่บ้านแล้ว ไปภัตตาคารตะวันตกคราวที่แล้วเป็นไง”
หลินเซินเงียบไปสักพัก “ฉันไม่อยากออกไปกินข้างนอก”
เมิ่งสืออวี่ยกเสียงสูงขึ้น คล้ายกำลังตักเตือน “หลินเซิน!”
เธอจึงเปิดปากอธิบาย “วันนี้ฉันเจอคนมามากพอแล้ว ครบเป้าหมายแล้ว”
เมิ่งสืออวี่หลุดขำออกมา “ถ้าเกิดทุกวันเธอเอาแต่นับจำนวนคนตามเป้าหมายที่ฉันตั้งเอาไว้ให้ งั้นอาการป่วยของเธอก็จะไม่มีวันหายหรอกนะ เซินเซิน…การออกมาเผชิญโลกภายนอกไม่ใช่เพื่อทำภารกิจที่ฉันมอบหมายไว้ให้สำเร็จเท่านั้นนะ แต่เพื่อตัวเธอเอง” เมิ่งสืออวี่ชะงักไปก่อนเอ่ยหยอก “เธอคงไม่ได้เห็นว่าภัตตาคารตะวันตกนั่นแพงเกินไปแล้วใช่ไหม”
หลินเซินถูกเมิ่งสืออวี่หยอกจนยิ้มออกมา “ถ้าเลี้ยงข้าวเธอ ต่อให้แพงกว่านี้ฉันก็จ่ายไหว”
เมิ่งสืออวี่ยิ้มออกมาเหมือนกัน “เปลี่ยนไปเป็นคนปากหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ โอเค งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องตรวจคนไข้ต่อแล้ว เดี๋ยวเลิกงานแล้วจะไปรับเธอนะ”
หลินเซินรับคำก่อนวางสายไป