คนในภัตตาคารมีไม่มาก บริกรพาทั้งสองคนไปนั่งที่โต๊ะ ระยะนี้เมิ่งสืออวี่กำลังลดน้ำหนักจึงสั่งแค่สลัดผลไม้มาจานเดียว เธอยกแก้วไวน์แดงขึ้นมาชนแก้วกับหลินเซิน “ยินดีด้วยที่ได้เซ็นสัญญาฉบับแรก ความรู้สึกที่ได้เลี้ยงดูตัวเองเป็นยังไงบ้าง”
หลินเซินจิบไวน์เข้าไปอึกเล็กๆ “ยังรู้สึกไม่ค่อยสมจริงอยู่เท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนชอบภาพของฉันจริงๆ”
เมิ่งสืออวี่ยิ้มน้อยๆ แกว่งแก้วไวน์ในมือเบาๆ “บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ดำรงอยู่เป็นอิสระ ต่อให้อัปลักษณ์แค่ไหนก็จะต้องมีคนชอบ ต่อให้ภาพนั้นจะเข้าใจยากกว่านี้ยังไงก็จะมีคนชื่นชมเหมือนกัน เธอก็แค่ตัดขาดตัวเองออกมานานเกินไปแล้ว”
หลายปีมานี้เมิ่งสืออวี่คอยช่วยเธอเอาชนะความกลัวสังคมอยู่ตลอด ทั้งเมิ่งสืออวี่และตัวเธอเองต่างเข้าใจว่าไม่ใช่หลินเซินไม่อยากเดินออกมา เพียงแค่ไม่กล้าเท่านั้น ทว่าระยะนี้สถานการณ์ของหลินเซินก็เปลี่ยนไปและดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งสืออวี่เองก็พอใจกับผลการรักษาของตนมาก
หลินเซินเป็นคนพูดไม่เก่ง แม้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจก็ทำได้แค่ยกแก้วขึ้นเอ่ยขอบคุณเมิ่งสืออวี่อย่างจริงจัง “เมิ่งเมิ่ง ขอบคุณมาก!”
เมิ่งสืออวี่ดื่มไวน์ในแก้วหมดรวดเดียวก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ความเหนื่อยล้าที่ปรากฏบริเวณหว่างคิ้วคลายออก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เมิ่งสืออวี่ดูแล้วไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ทำให้หลินเซินอดถามไม่ได้ “วันนี้อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
จิตแพทย์สาวกุมขมับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “เมื่อครู่ก็หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่พอคุยกับเธอก็ดีขึ้นเยอะแล้ว แค่ว่า…” เธอชะงักไป สายตากวาดผ่านตัวหลินเซิน ในแสงสว่างแฝงความอึมครึมบางส่วน “คนไข้นอนไม่หลับที่เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้น่ะ จนกระทั่งตอนนี้แล้วก็ยังไม่มีท่าทีจะดีขึ้นสักนิด ตอนแรกที่รับเคสต่อมาฉันเคยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเอาไว้มากว่ารักษาได้ แต่ตอนนี้ดูท่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องตลกของวงการไปแล้ว”
หลินเซินนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เมิ่งสืออวี่เคยพูดเรื่องนี้ให้เธอฟังอยู่ จึงเอ่ยปลอบ “แม้แต่ฉันเธอยังรักษาหายได้เลย ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเธอหรอก”
เมิ่งสืออวี่ถอนหายใจ “ไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ กระทั่งพวกรุ่นอาวุโสยังไม่มีวิธีการอะไรกันเลย” สายตาของจิตแพทย์สาวตกลงบนใบหน้าของหลินเซิน ก่อนทอดเสียงอ่อนลง “ถ้าเกิดมีความสามารถอย่างเสียงของเธออาจจะพอทดลองได้”
เพิ่งจะพูดจบส้อมในมือของหลินเซินที่กำลังตัดแยกสเต๊กเนื้อออกเป็นส่วนๆ ก็กรีดผ่านผิวจานดังเอี๊ยด ส่งเสียงแหลมบาดหูออกมา มือที่กุมส้อมอยู่สั่นระริก เธอวางสเต๊กเนื้อกลับลงที่เดิมและแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่ได้พูดอะไรต่อ และไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วย
เมิ่งสืออวี่ยืดตัวตรงขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำลง “ขอโทษด้วยเซินเซิน! ฉันไม่ควรพูดแบบนี้”
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินเซินจึงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เมิ่งสืออวี่ “ไม่เป็นไร! ก็แค่…”
บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย เมิ่งสืออวี่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อแก้ไขบรรยากาศ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เธอบอกว่าคนที่เลือกรูปภาพของเธอคือซ่งเซียวหานเหรอ”
“อืม”
เมิ่งสืออวี่เลิกคิ้ว “รู้ไหมว่าซ่งเซียวหานคนนี้เป็นใคร”
หลินเซินส่ายหน้า
“ลูกชายคนเดียวของครอบครัวซ่ง ทายาทหนึ่งเดียวของซ่งซื่อกรุ๊ป เมื่อปีก่อนเพิ่งสืบทอดตำแหน่งจากพ่อเขา น่าจะเป็นหนุ่มหล่อมากความสามารถที่ทรงอิทธิพลที่สุดของไหวอันในตอนนี้แล้ว ได้ยินมาว่ามีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยอยากจะปีนขึ้นเตียงของเขา แต่สุดท้ายแม้แต่ผมเส้นเดียวก็ยังไม่ได้แตะ” เมิ่งสืออวี่ยิ้มแย้มส่ายหน้า “ลูกเศรษฐีชื่อดังตัวจริง ครั้งก่อนฉันดูสัมภาษณ์ของเขาอยู่ หน้าตาไม่เลว พระเจ้านี่ช่างลำเอียงในการสร้างคนจริงๆ”
หลินเซินย้อนนึกถึงใบหน้าเย็นชา ทว่าดูหล่อเหลาไม่ธรรมดาของซ่งเซียวหานเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมิ่งสืออวี่เอ่ยหยอก “เธอจะต้องกอดขาใหญ่ๆ ข้างนี้เอาไว้ให้ดีๆ นะ ซ่งเซียวหานชอบภาพของเธอ พอเรื่องนี้กระจายออกไปแล้วไม่รู้ว่าค่าตัวเธอจะเพิ่มขึ้นไปกี่เท่า!”
หลังพูดคุยกันสักพักบรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่นี้ก็ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว พอกินข้าวเสร็จทั้งสองคนก็พากันไปเดินเล่นแถวย่านเก่าที่ปลูกต้นไหวและต้นหลิวริมสองข้างทาง ในตอนที่หลินเซินกลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็กำลังจะมืดแล้ว ลมกลางคืนแฝงไอร้อนทะลักเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน พัดปฏิทินแขวนบนผนังให้แกว่งไกวไปมา สายตาของหลินเซินตกอยู่บนวันที่ซึ่งเธอใช้ปากกาแดงวงเอาไว้…นั่นเป็นวันพรุ่งนี้
วันครบรอบวันตายของพ่อแม่เธอ