วันรุ่งขึ้นหลินเซินออกจากบ้านแต่เช้า ร้านดอกไม้ตรงหัวมุมถนนเพิ่งเปิดร้าน เจ้าของร้านกำลังยกกระถางดอกไม้สดใหม่ออกไปวางข้างนอก หลินเซินซื้อดอกเดซี่สีขาวสองช่อเหมือนกับทุกๆ ปี
สุสานมักจะให้บรรยากาศสงบที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่เสมอ หลังเธอบ่นถึงสถานการณ์ในระยะนี้ของตนเองให้พ่อกับแม่ซึ่งนอนหลับยาวฟังเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็ลอยโด่งขึ้นไปถึงครึ่งท้องฟ้าแล้ว แสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นมา หลินเซินแนบหน้าผากไปบนป้ายหลุมศพพลางเอ่ยเสียงเบา “พ่อแม่…หนูไปก่อนนะคะ ถ้าเกิดเป็นลมแดดเข้าพ่อกับแม่ก็จะเป็นห่วงเอา จริงไหม!”
สมัยมีชีวิตอยู่คุณแม่หลินเป็นคนเคร่งศาสนา ดังนั้นทุกปีหลังกราบไหว้ที่หลุมศพเสร็จ หลินเซินก็จะไปสวดมนต์ในโบสถ์ เธอกางร่มสีดำออก ลายดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ บนร่มสะท้อนกับแสงอาทิตย์ เสมือนดอกที่เบ่งบานเต็มที่แล้วกำลังจะร่วงโรย
โบสถ์ในวันศุกร์นั้นเงียบสงบเป็นอย่างมาก แต่จักจั่นบนต้นโอ๊กก็คอยส่งเสียงร้องไม่หยุด เพิ่มความน่ารำคาญให้กับฤดูที่ร้อนระอุนี้มากขึ้น
กู้ชิงไหวจอดรถเสร็จแล้วก็ลงมาช่วยเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้กับหญิงชรา เขามองระยะทางระหว่างลานจอดรถไปยังโบสถ์ที่ไม่นับว่าสั้นนี้ทีหนึ่ง แล้วเดินไปหยิบร่มมาจากกระโปรงรถด้านหลัง
หญิงชราที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวรถมองดูร่มที่กางอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่พอใจ “คนหนุ่มอย่างพวกเธอน่ะช่างบอบบาง แค่แสงแดดเล็กๆ น้อยๆ ก็โดนไม่ได้”
กู้ชิงไหวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก “ผมกลัวว่าคุณจะโดนแดดแรงเกินไปนะครับ”
“ฉันถือว่าเป็นคนที่ลงหลุมไปครึ่งตัวแล้ว ยังจะต้องมากลัวตากแดดอะไรอีกเหรอ”
หญิงชราพูดจาแข็งกระด้าง เดินโซเซเล็กน้อย กู้ชิงไหวโน้มตัวลงถือร่มให้ต่ำกว่าเดิมขณะก้าวเดินตามเธอไป “ประโยคสมัยก่อนพูดเอาไว้ได้ดี อยู่จนแก่ สวยจนแก่ คุณสวยมาตั้งแต่เกิดย่อมไม่กลัวตากแดดจนตัวดำ แต่ผมสู้คุณไม่ได้ ถ้าตากแดดจนตัวดำแล้วก็คงหาภรรยาไม่ได้”
หญิงชราหัวเราะไปกับคำพูดของเขา ทว่าบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นกลับปรากฏแววเสียใจขึ้นมาช้าๆ “ถ้าอวิ๋นเอ๋อร์ของฉันยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะแต่งงานได้แล้วเหมือนกัน”
กู้ชิงไหวไม่ได้ตอบอะไร แค่ตบบริเวณหลังมือที่สั่นเทาของเธอเบาๆ
ในตอนที่เดินเข้าไปในโบสถ์ก็มีสายลมเย็นสบายพัดมาปะทะใบหน้า หญิงชราตรงเข้าไปเพื่ออธิษฐาน ส่วนกู้ชิงไหวนั่งลงบนแถวที่นั่งท้ายสุด กอดอกมองประเมินโบสถ์อันเงียบสงบตรงหน้า แสงอาทิตย์หักเหเข้ามาจากกระจกที่แปะกระดาษปิดหน้าต่างสีน้ำเงินสองฝั่งทำให้แสงดูสลัว
ยามบ่ายอันเงียบงันมีเพียงเสียงจักจั่นลอยมาตามสายลม จากนั้นไม่นานนักก็มีเสียงทุ้มท่องบทสวดอย่างแผ่วเบาลอยมา แต่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
“…ท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน จะระลึกถึงความทุกข์เหมือนน้ำที่ไหลผ่านไปแล้ว ชีวิตท่านจะสุกใสยิ่งกว่าเวลาเที่ยงวัน ความมืดจะเป็นเหมือนรุ่งอรุณสำหรับท่าน และท่านจะมั่นใจเพราะมีความหวัง ท่านจะมองดูโดยรอบและนอนพักอย่างปลอดภัย”
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนกับลำธารในผืนป่าที่ไหลผ่านก้อนหินสีขาวทอประกายแสงแดดระยับไปช้าๆ สะท้อนอยู่ในโบสถ์อันว่างเปล่าอย่างถ่อมตน ดังอยู่ข้างหูของเขา
หลังจากนั้นกู้ชิงไหวก็จำอะไรไม่ได้อีก เขานอนหลับไปแล้ว
แสงแดดยามบ่ายร้อนแรง หลินเซินปิดหนังสือ ‘พันธสัญญาเดิม’ ก่อนพยักหน้าทักทายนักบวชที่สวดอธิษฐานอยู่ด้วยแล้วกลับตัวเดินจากไป
ในตอนที่กู้ชิงไหวถูกหญิงชราปลุกให้ตื่นเวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เมื่อสะดุ้งตื่นจากฝันกะทันหัน ในดวงตาใสกระจ่างของชายหนุ่มจึงมีเพียงความสับสนงุนงงราวกับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน จนได้ยินเสียงจักจั่นดังเข้ามาในหูสติของเขาจึงกลับมา และภาพตรงหน้าก็กระจ่างชัดขึ้นมาตาม
เขายังคงอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ที่มีแสงสว่างสลัวๆ กับรูปปั้นน่าเกรงขาม หญิงชราเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างๆ “ทำไมถึงนอนหลับไปแบบนี้ได้ล่ะ เธอเหนื่อยเกินไปแล้วเหรอ”