หลินเซินลดโทรศัพท์มือถือลงช้าๆ แล้วเปิดลำโพงทำให้ได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะของกู้ชิงไหวดังออกมา
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้าทุกคน พอดีว่าครั้งนี้ผมติดงานก็เลยไม่ได้ตามเซินเซินกลับไปทักทายทุกคนด้วยกัน ครั้งหน้าจะต้องไปขออภัยต่อหน้าแน่นอนครับ เซินเซินของผมค่อนข้างเก็บตัว หวังว่าช่วงสองสามวันนี้คุณลุงคุณป้าทุกคนจะช่วยผมดูแลเธอให้ดี ถ้ามีโอกาสให้มาไหวอันนะครับ ผมจะเลี้ยงข้าวทุกคนเอง”
ญาติๆ ที่โต๊ะอาหารต่างมองหน้ากัน แล้วก็ยังคงเป็นเจียงกุ้ยจือที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวที่สุด เธอยิ้มแล้วเอ่ยเสียงแหลม “ตายแล้ว! เด็กคนนี้รู้จักพูดจาจริงๆ ดูพูดเข้าสิ ครอบครัวเดียวกันจะมาพูดเรื่องดูแลอะไรกันล่ะ ถ้ามีโอกาสก็มาเที่ยวที่เจ๋อสุ่ยด้วยนะ”
กู้ชิงไหวหัวเราะอย่างชวนให้ผู้หลักผู้ใหญ่เอ็นดู “แน่นอนครับๆ” เอ่ยจบเขาก็ลดเสียงลง ฟังแล้วรู้สึกอ่อนโยนยิ่งกว่าอะไรดี “งั้นเซินเซินก็อยู่คุยกับทุกคนไปก่อนนะ แต่อย่าให้ดึกไป เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งหายหวัด รีบกลับไปพักผ่อนด้วยนะครับ”
หลังวางสายไปแล้ว เสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ หลินเซินก็มีรอยยิ้มเจื่อนๆ ดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ว่าโชคดีที่ในที่สุดพวกเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องแต่งงานของหลินเซินแล้ว เจียงกุ้ยจือเอ่ยชมกู้ชิงไหวเสียใหญ่โต กำชับให้ครั้งหน้าหลินเซินจะต้องพาเขากลับมาให้ทุกคนได้เจอ
หลินเซินผ่อนลมหายใจออกมา พอย้อนคิดถึงการกระทำเมื่อครู่นี้ก็รู้สึกขบขัน แต่นอกจากกู้ชิงไหวแล้วคงหาใครที่จะร่วมมือกับเธอขนาดนี้ไม่ได้จริงๆ แถมเขายังเป็นฝ่ายเสนอตัวมาเล่นละครกับเธอเองด้วย
หลังกินข้าวเสร็จหลินเซินก็หอบผ้านวมสองผืนที่เจียงกุ้ยจือหามาให้กลับบ้านไป ในบ้านต่อกระแสไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว แต่แสงของหลอดไฟดูสลัวๆ หลินเซินตักน้ำมาเช็ดโซฟาแล้วจึงปูผ้านวมก่อนนอนลงไป
โชคดีที่เป็นคืนฤดูร้อน จึงนอนแบบนี้ได้โดยไม่เป็นหวัด หลินเซินปิดไฟ รอบห้องก็มืดลง ไกลออกไปยังได้ยินเสียงเจียงกุ้ยจือตำหนิหลานชายสองคน ด้านหลังบ้านของบรรพบุรุษเป็นทุ่งนาผืนหนึ่ง พวกเขาเพิ่งปลูกข้าวของฤดูกาลนี้ไป และเวลาที่กบนากระโดดขึ้นมาก็จะได้ยินเสียงน้ำกับเสียงกบร้องอย่างชัดเจน
หลินเซินลืมตามองความมืดที่เหมือนหยดหมึกที่กระจายตัวออก ผ่านไปพักใหญ่ๆ เธอถึงได้คลำหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเปิดบันทึกการโทรออกดูแล้วกดโทรออกไป อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงหยอกล้อดังขึ้น “สลัดบรรดาญาติๆ พ้นแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ…ขอบคุณเรื่องเมื่อกี้นี้ด้วยนะคะ” หลินเซินชะงักไป “จะว่าไปแล้วคุณมีเบอร์ของฉันได้ยังไงคะ”
กู้ชิงไหวเงียบไปไม่กี่วินาทีก็ตอบกลับไป “วันนั้นตอนเก็บโทรศัพท์มือถือกลับมาให้คุณ ผมบันทึกเบอร์คุณเอาไว้ด้วย”
หลินเซินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มือถือฉันไม่ได้มีรหัสผ่านหรอกเหรอคะ”
“…หลังมันหล่นอาจจะเจ๊งชั่วคราวมั้งครับ คุณกลับบ้านเกิดไปทำอะไรกัน ซ่อนตัวเหรอครับ”
หลินเซินถูกเขาพาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ค่ะ มีเหตุผลนั้นด้วย” จากนั้นเธอก็บอกเรื่องซื้อขายที่ดินที่บ้านเกิดไปด้วยคร่าวๆ ในความมืดนี้เสียงที่ดังมาจากปลายสายฟังดูชัดเจนเป็นพิเศษ
“งั้นคุณจะขายบ้านของบรรพบุรุษเหรอครับ เงินค่าชดเชยน่าจะได้ไม่น้อย คุณคนเดียวรับมือกับญาติกลุ่มนั้นได้เหรอ”
“ฉันไม่มีทางขายค่ะ” หลินเซินหลับตาลง นิ้วมือวาดผ่านความมืดไร้รูปร่าง “ตอนแรกที่ปู่ทิ้งบ้านไว้ให้พ่อของฉัน ก็เพราะว่าพ่อของฉันรับปากว่าจะไม่มีวันขายที่ดินผืนนี้ อีกอย่างคือที่นี่ยังมีความทรงจำของฉันกับครอบครัวอยู่ด้วย”
กู้ชิงไหวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “งั้นบรรดาญาติๆ ที่อยากจะแบ่งผลประโยชน์พวกนั้นก็รับมือด้วยยากแล้ว”
“ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกค่ะ” เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเก็บซ่อนอารมณ์ “เมื่อครู่นี้คุณโทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“แค่เรื่องเล็กๆ ครับ รอคุณกลับมาค่อยว่ากันก็ได้…” ในตอนที่เขากำลังจะวางสาย กู้ชิงไหวก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “ที่ชนบทมียุงกับแมลงเยอะ ซื้อยากันยุงแล้วหรือยังครับ”