เจียงกุ้ยจือฟังออกว่าหลินเซินไม่ยอมรับการเกลี้ยกล่อมใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าก็พลันขมขื่นลงทันที เธอถอนหายใจแล้วเอ่ยตัดพ้อ “เซินเซิน หลานไม่รู้สินะว่าช่วงสองปีมานี้พี่ชายพี่สะใภ้ของหลานต้องไปทำงานอยู่ข้างนอก ได้เงินมาไม่เท่าไหร่ เด็กๆ สองคนที่บ้านนี่ก็ต้องให้พวกเราคอยดูแล อาหารเสื้อผ้าโรงเรียนมีอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน ชีวิตผ่านไปอย่างลำบากจริงๆ” พูดจบตาก็แดงขึ้นมา เจียงกุ้ยจือเงยหน้าขึ้นทำท่าปาดน้ำตา “เซินเซิน หลานไม่ได้กลับมาหลายปีขนาดนี้ พวกเราคอยดูแลบ้านของบรรพบุรุษให้ก็ไม่เคยพูดจาตัดพ้อสักคำ ตอนแรกที่พ่อแม่ของหลานเสียชีวิต พวกเราก็เดินทางไกลไปช่วยเหลือ งานศพก็เป็นพวกเราช่วยจัดการทั้งนั้น…”
เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงงานศพ ในสมองของหลินเซินก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นทันที เธอลุกพรวดจนชนเข้ากับเก้าอี้ด้านหลัง เจียงกุ้ยจือสะดุ้งตกใจ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
หลินเซินสูดลมหายใจเข้าลึก นิ้วมือจับขอบโต๊ะแน่น “ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีทางเห็นด้วยเรื่องขายบ้านของบรรพบุรุษค่ะ”
หลินเจิ้นกั๋วรีบเดินเข้ามาเอ่ยปลอบเธอ “เซินเซิน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดจากันดีๆ หลานจะโมโหอะไร…”
หลินเซินเบี่ยงตัวหลบมือที่กำลังจะวางลงบนไหล่เธอ พร้อมก้าวถอยหลังไปสองก้าว “ฉันขอตัวก่อนนะคะ ถ้าผู้รับผิดชอบโรงงานอยากจะมาคุยก็ให้เขามาหาฉันนะคะ”
หลังพูดจบ หลินเซินก็กลับตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องเงียบลง เหลือแค่เด็กน้อยสองคนวิ่งวนไล่จับกัน ผ่านไปสักพักหลินเจิ้นกั๋วก็คว้าตัวหลินจื่อหยางพร้อมตะคอกใส่เสียงดัง “ห้ามเล่นที่นี่! ออกไปซะ!”
เจียงกุ้ยจือตบโต๊ะ ตะเบ็งเสียงด่า “ตาแก่ แกจะมาดุใส่หลานชายทำไมกัน! เมื่อครู่ทำไมไม่กล้าตะโกนใส่นังเด็กนั่นล่ะ!!”
หลินเจิ้นกั๋วโมโหจนก้อนเนื้อบนใบหน้ากระตุก มือของเขาสั่นขณะเอาล้วงบุหรี่มวนหนึ่งออกมา “นังนี่ประหลาดมาตั้งแต่เด็ก เวลาพูดด้วยก็อย่างกับถูกสะกดจิตต้องคล้อยตามไป โมโหใส่ไม่ได้สักนิด”
“เฮอะ! นังเด็กใจจืดใจดำ ฉันว่ามันอยากจะฮุบเงินค่ารื้อถอนเอาไว้คนเดียว!”
หลินเจิ้นกั๋วถอนหายใจยาว ผ่านไปสักพักก็พลันลุกพรวดขึ้นมา “ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องไปเรียกเจ้าสาม หู่จื่อมาปรึกษากันว่าเรื่องนี้จะทำยังไงดี หลินเซินคนนั้นเป็นคนหัวแข็ง ตั้งแต่เด็กๆ มันก็ไม่ได้สนิทกับพวกเรา ดังนั้นจะต้องคิดหาวิธีให้ดีๆ”
เขาดูดบุหรี่เข้าไปอีกอึกแล้วรีบร้อนออกจากบ้านไป
เพราะกังวลว่าหลินเจิ้นกั๋วจะไล่ตามมา หลินเซินเลยไม่ได้กลับไปที่บ้านของบรรพบุรุษ แต่เดินตามถนนหินลงไปที่แม่น้ำหงเหอ แม้จะเรียกว่าแม่น้ำแต่ความจริงแล้วก็คือลำธารกว้างหนึ่งเมตรกว่าสายหนึ่ง สมัยเด็กยังพอมองเห็นปลาได้ คุณพ่อหลินเคยพาเธอลงไปในแม่น้ำเพื่อจับปลา แล้วก็จะมีชาวบ้านมานั่งซักเสื้อผ้าอยู่บนก้อนหินที่ริมธารด้วย แต่ตอนนี้น้ำในลำธารขุ่นมัวไปจนหมดแล้ว
หลินเซินหามุมที่ค่อนข้างปลีกวิเวกและเงียบสงบได้ก่อนจะนั่งลงแล้วสวมหูฟังเพื่อฟังเพลง ปล่อยจิตใจให้เหม่อลอยไปไกล ในตอนใกล้มื้อเที่ยงเธอก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหลินเจิ้นกั๋ว หญิงสาวลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังคงกดรับสาย
“เซินเซิน อีกสักพักมากินข้าวที่ร้านอาหารเหอจยาฮวนในหมู่บ้านนะ คือว่า…หลานไม่ได้อยากคุยกับผู้รับผิดชอบหรอกเหรอ ลุงไปบอกเขาให้แล้ว”
“ได้ค่ะ”
หลินเซินลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นที่ติดตรงชายเสื้อผ้าออก แล้วเดินไปทางหมู่บ้าน
เหอจยาฮวนเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของหมู่บ้านเจ๋อสุ่ย ตัวร้านสูงสามชั้น ในหมู่บ้านนี้ถ้าเกิดมีคนแต่งงาน หรือฉลองวันเกิดก็จะพากันมาจัดงานที่นี่ ดังนั้นป้ายร้านบนประตูจึงแขวนผ้าไหมสีแดงเพื่อให้เป็นสิริมงคลเอาไว้ตลอดเวลา แต่เพราะผ่านแดดผ่านฝนมานานสีจึงซีดจางไปบ้างเล็กน้อย
ในตอนที่หลินเซินเดินขึ้นไปบนชั้นสอง โต๊ะอาหารภายในห้องใหญ่ก็มีคนนั่งอยู่แล้วห้าหกคน เมื่อกวาดสายตามองไปก็เห็นว่ามีคนที่กินข้าวเย็นด้วยกันเมื่อวาน ส่วนอีกสองคนนั้นไม่คุ้นตา หลินเจิ้นกั๋วกำลังสูบบุหรี่และพูดอะไรบางอย่างอยู่กับคนข้างตัว เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาก็หยุดคุยทันที
ชั่วขณะหนึ่งหลินเซินนึกอยากจะกลับตัวแล้วเดินออกไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าในมื้ออาหารนี้เธอจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอหวาดกลัวจะเผชิญหน้าด้วยมากที่สุดพอดี
แต่เธอไม่ได้หนี
เธอหนีมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ชีวิตของเธอไม่อาจเอาแต่หนีไปได้ตลอด