ถึงจะแอบยิ้มกับความร่าเริงสดใสของคนตรงหน้า แต่ก็อดนึกเคืองไม่ได้ที่เป็นเหตุให้เขาต้องอับอายเพราะเสียงแซวจากคนรอบตัวทั้งคนรู้จักและแปลกหน้า แต่จะให้เดินหนีไประหว่างที่เธอกำลังเหินฟ้าอยู่นั้นก็เป็นห่วงเกินกว่าจะก้าวเท้าออกจากจุดนั้นได้ จึงต้องยืนกุมขมับยิ้มแหยรับฟังเสียงปรบมือเป่าปากจนจบ
เธอฉีกยิ้มพลางสั่นหน้า “ไม่ค่ะ ทำไมต้องอายล่ะคะ รักก็บอกว่ารัก ไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย”
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปป่าวประกาศให้รู้ทั่วโลกเลยนี่ เรื่องของคนสองคน”
“อันนั้นก็ใช่ค่ะ แต่ณาณ่าอยากแสดงความมั่นใจด้วยไงคะ ที่สำคัญต้องรีบบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าคนนี้มีเจ้าของแล้ว จะได้ไม่เกิดคนที่สาม สี่ และห้าตามมา” หญิงสาวบอกพลางยักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์ จึงถูกมือใหญ่ตีหน้าผากเข้าให้อีกที
“จะสนใจทำไม ถ้าคนสองคนรักกัน มือที่สาม สี่ หรือห้าอะไรของเราก็ไม่มีผลหรอก”
จบประโยคนั้นคนฟังก็กระโดดเกาะแขนเขาแน่น ตาพราวระยับเป็นประกายอย่างถูกใจ
“ถ้างั้นก็แปลว่าพี่พัทกับณาณ่ารักกันแล้วใช่มั้ยคะ”
ชายหนุ่มจึงได้รู้ตัวว่าโดนสาวน้อยตัวแสบแกล้งเข้าให้อีกแล้ว
มหาวิทยาลัยในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนซึ่งแม้จะมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนไม่น้อย แต่ความพลุกพล่านกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อนจัดและแสงแดดแผดเผาเช่นนี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ส่วนใหญ่จะสมัครใจหลบร้อนอยู่ในอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำมากกว่าจะออกมาเดินให้ความร้อนแรงของดวงอาทิตย์เผาผลาญร่างกาย
ณอันดาก็เป็นหนึ่งในนั้น หญิงสาวนั่งจิบชาแอปเปิ้ลเย็นอยู่ในร้านกาแฟอย่างสบายใจ หูก็ฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ โดยที่มือก็พลิกหน้าหนังสืออ่านไปเรื่อยๆ ด้วย
“สบายใจเหลือเกินนะคุณผู้หญิง” เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นพร้อมมือใหญ่ที่ถือวิสาสะเอื้อมมาดึงหูฟังออก “ผมคิดว่าจำไม่ผิดนะว่าเรานัดกันที่ห้องสมุด แล้วทำไมคุณโผล่มาอยู่ที่นี่”
“ก็ห้องสมุดแอร์เสียนี่” หญิงสาวพูดเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าอนาทรร้อนใจใดๆ กับใบหน้าขาวที่ขึ้นริ้วสีและอาการหอบเบาๆ ด้วยความเหนื่อยของคู่สนทนา
“แล้วทำไมไม่บอก ปล่อยให้ผมวิ่งหาทั่วห้องสมุดเลย”
“ก็แล้วทำไมไม่โทรมาล่ะ”
“ไอ้บ้าที่ไหนใช้โทรศัพท์ในห้องสมุดกันเล่า ผมนึกว่าคุณอยู่ห้องสมุด ถ้าโทรไปคุณก็จะโดนดุ ผมก็ไม่กล้าโทรสิ”
ฟังเหตุผลแล้วก็ต้องยอมรับว่าเถียงได้ยาก เธอจึงยักไหล่และเปลี่ยนประเด็นหน้าตาเฉย “เอาน่า ยังไงก็เจอกันแล้วไง คนมาสายไม่มีสิทธิ์บ่นนะ”
“ผมสายแค่ห้านาที แต่อีกสิบห้านาทีเนี่ยเพราะผมต้องวิ่งตามหาคุณต่างหาก”
“ก็แล้วไอ้ห้านาทีนั่นเรียกว่าสายหรือเปล่าล่ะ”
ชายหนุ่มทำท่าฮึดฮัดเพราะอยากเถียงแต่ไม่อาจทำได้ จึงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม ใบหน้าขาวจัดตัดด้วยเครื่องหน้าคมเข้มและดวงตาสีเทาอ่อนซึ่งเป็นส่วนผสมอันลงตัวของสองชนชาติคนละฟากฝั่งทวีปทำให้เขาจัดเป็นหนึ่งในผู้ชายหน้าตาดี เสียแต่ชอบทำหน้าอยู่สองแบบ นั่นคือกวนประสาทกับขาดอารมณ์ขัน
เชนย์เป็นลูกครึ่งจีน-อเมริกัน บิดาของเขาเป็นคนจีนที่อพยพมาตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับพี่ชายและพี่สาวอีกสี่คนตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยสติปัญญา ความสามารถ รวมถึงความอุตสาหะพากเพียรของห้าพี่น้อง จากทรัพย์สินจำนวนไม่มากที่พกติดตัวมา ก็ได้งอกเงยเป็นธุรกิจครอบครัวที่มั่นคงและกว้างขวางแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ จนวันนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลเศรษฐีที่นักธุรกิจในวงการต่างรู้จักดี
ณอันดาได้รู้จักกับเขาในห้องเรียนวิชาหนึ่งตั้งแต่เทอมแรกที่เข้าเรียนที่นี่ ชายหนุ่มเดินมาขอจับคู่ทำรายงานกับเธอด้วยคำพูดที่หลายคนอาจจะตวัดหางตาใส่