ร้านอาหารที่ณอันดาเลือกเป็นร้านอาหารไทยขนาดกลางที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน การตกแต่งร้านดูคล้ายร้านอาหารไทยทั่วไปในต่างแดน คือมีการประดับด้วยไม้แกะสลัก ผ้าปัก และตุ๊กตาพื้นเมืองต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและสื่อถึงความเป็นไทย แสงไฟสลัวสีนวลและดนตรีที่เปิดคลอทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปยังอีกโลก
เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นเมื่อผลักบานประตูเข้าไป ชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้านจึงเดินเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ ร้านเปิดหรือยังคะ” ณอันดาถามเมื่อกวาดตามองทั่วร้านแล้วยังไม่ปรากฏลูกค้ารายอื่นนั่งอยู่
ใบหน้ากลมยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อได้ยินลูกค้าทักด้วยภาษาไทย “เพิ่งเปิดเลยครับ เชิญๆ กี่ที่ครับ”
“สองค่ะ”
เขาผายมือเชื้อเชิญและเดินนำคนทั้งสองไปยังโต๊ะบริเวณริมหน้าต่างสำหรับสองที่นั่งโดยจัดให้ลูกค้านั่งหันหน้าออกไปด้านนอกซึ่งมีทิวทัศน์เป็นร้านรวงเล็กๆ ตลอดแนวถนน
“ผมชื่อไมค์ เป็นเจ้าของที่นี่ ถ้ามีอะไรบอกผมได้เลยนะครับ แล้วอีกสักครู่จะให้พนักงานมารับออเดอร์นะครับ”
ณอันดาเปิดดูรายการอาหารเล่มใหญ่ในมือพลางพูดแจ้วๆ ไม่หยุดปาก
“พี่พัททานอะไรดีคะ เห็นเขาว่าที่นี่มีห่อหมกทะเลที่พี่พัทชอบ แล้วก็ต้มข่าไก่ ผัดกะเพราไม่เอาเนอะ กินที่พี่พัททำอร่อยที่สุดแล้ว ยำไก่ทอดมั้ยคะ แปลกดี ส่วนจานผักก็ส้มตำมั้ยคะ”
“สั่งมาแล้วกินได้เหรอเราน่ะ มีแต่ของเผ็ด เดี๋ยวก็แสบปากแสบท้องอีก”
หญิงสาวเงยหน้าส่งยิ้มหวานให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ของโปรดพี่พัท ณาณ่ากินได้ เดี๋ยวบอกเขาว่าขอเผ็ดน้อยหน่อย และขอน้ำมาเตรียมไว้เยอะๆ ละกัน”
“เอาผัดผักมาแทนส้มตำแล้วกัน ณาณ่าจะได้กินได้ สั่งอย่างอื่นให้เดี๋ยวก็บ่นว่าพี่ทำให้อ้วนอีก”
“ได้ค่ะ ณาณ่าว่าง่าย พี่พัทว่าไงก็ว่างั้นค่ะ”
“พี่พัท” เสียงอุทานแผ่วเบาจากด้านหลังเรียกให้ทั้งสองหันกลับไปมอง
“น้องวิป น้องอ้อน” พาณาสน์ทักขึ้นเมื่อเห็นว่าต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่คือวิภาวี โดยมีอรกัญญายืนห่างออกไปเล็กน้อย
“อ้าว มาทำอะไรที่นี่คะ” ณอันดาพูดขึ้นบ้าง เหลือบสายตาลงมาก็เห็นผ้ากันเปื้อนที่คาดอยู่บริเวณเอวของอีกฝ่าย “ทำงานที่นี่กันเหรอ”
แม้แสงไฟจะไม่สว่างนัก แต่ความสว่างจากภายนอกที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาก็ทำให้เห็นว่าใบหน้าเจื่อนๆ ของวิภาวีแดงขึ้น
“ทำงานที่นี่แล้วผิดตรงไหนไม่ทราบ” เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นอรกัญญาที่สืบเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าบึ้งตึงกับตาที่จ้องอย่างขุ่นเคืองทำให้คนถูกมองเริ่มงง
“ไม่ได้ว่าผิดนี่คะ แค่ถามเฉยๆ”
“ก็เห็นๆ อยู่แล้วจะถามทำไมไม่ทราบ นึกว่ารวยแล้วจะดูถูกใครก็ได้งั้นเหรอ”
ณอันดาเลิกคิ้วมองหน้าสาวรุ่นพี่ทั้งสองสลับกัน ขณะที่อรกัญญาทำหน้าเหมือนจะจับเธอฉีกเป็นชิ้นๆ วิภาวีก็เม้มปากพลางน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร
…เอ ข้อกล่าวหากับฉากแบบนี้มันคุ้นๆ อยู่นะคะ
“น้องอ้อน ณาณ่าไม่ได้ดูถูกจริงๆ ครับ” ชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นรีบพูดไกล่เกลี่ย
“แปลว่าอ้อนกับวิปคิดมากไปเองสินะคะ”
พาณาสน์ลอบถอนหายใจอย่างอึดอัดกับคำประชดนั้น เขามั่นใจว่าณอันดาคงไม่ได้คิดดูถูกอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ ต่อให้จะมีนิสัยปากไวและชอบแกล้งคนอื่นบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยระรานใครก่อน หากในทางตรงกันข้ามหญิงสาวก็ไม่เคยยั้งปากเมื่อถูกก่อกวน ซึ่งในสถานการณ์นี้ที่คู่กรณีแสดงให้อยู่บ่อยๆ ว่าไม่ค่อยถูกชะตา ถ้าไม่รีบห้ามทัพอาจจะวุ่นวายมากกว่านี้ก็ได้