เมื่อครู่เธอได้รับการตบไหล่เพื่อแสดงความชอบใจไปแล้ว ครั้งนี้กับประโยคนี้ทำให้กุลรัตน์ถึงกับกระโดดกอดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ว้าย! ถูกใจมากกกณาณ่า ที่บ่นไว้เมื่อเช้านี้พี่ถอนคำพูดทิ้งหมดเลย”
พาณาสน์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “พูดจามีสาระกับเขาเป็นด้วยเหรอเรา”
“เห็นมั้ยคะ พี่พัทยังเห็นด้วยกับณาณ่าเลย”
“เฮ้ย พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธเมื่อเพื่อนเหล่มองราวกับเขาเป็นคนทรยศ “คือจริงๆ แล้วก็เข้าใจว่าผู้หญิงมีความฝัน แต่สำหรับผู้ชาย เรื่องฝันมันก็แค่ภาพวาด จับต้องไม่ได้ เป็นจริงได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะงั้นจะเสียเวลาไปทำไม สู้คิดถึงแต่สิ่งที่ทำได้และลงมือทำจริงเลยดีกว่า”
“นั่นแหละค่ะ ณาณ่าก็กำลังจะพูดแบบนั้นพอดี”
“อ้าว” คนฟังทั้งหลายอุทานขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“เมื่อกี้ยังพูดไม่จบค่ะ แต่พี่พัทก็ต่อให้แล้ว” ณอันดายิ้มหวาน กระแซะเข้าใกล้เพื่อกอดหมับเข้าที่แขนเขา “ขนาดคิดในใจยังคิดเหมือนกันเลย ที่เขาว่าคู่แท้มักมีโทรจิตสื่อถึงกันได้คงเป็นแบบนี้นี่เอง ว่างั้นมั้ยคะพี่พัท”
แล้วนิทานเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า…อย่าเถียงกับผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่ชื่อ ‘ณอันดา’
เสร็จจากโปรแกรมแรก เป้าหมายต่อไปคือการนั่งเรือชมอ่าวและเกาะต่างๆ บริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีให้เลือกทั้งเรือแคนูและเรือใบ แต่เนื่องจากอากาศที่แม้จะอุ่นหากก็ยังมีลมเย็นจากทะเลเข้าปะทะตลอดเวลาทำให้ทุกคนลงความเห็นเลือกเรือใบเป็นเอกฉันท์ เพราะไม่มีใครอยากเปียกจากการเดินทางด้วยแคนูในสภาพอากาศเช่นนี้
เรือใบขนาดกลางบรรจุคนขับซึ่งทำหน้าที่ไกด์ไปในตัวกับผู้โดยสารหกคน เพราะหญิงสาวอีกสามคนนอกเหนือไปจากณอันดาและหนึ่งหนุ่มคือจิตติสละสิทธิ์เนื่องจากอากาศเย็นเกินไปและมีความเสี่ยงว่าจะเกิดอาการเมาคลื่นจึงขอแยกตัวออกไปเช่าจักรยานขี่เล่นรอบเมืองแทน ในขณะที่ณอันดาไม่หวาดหวั่นสิ่งใดเพราะมียันต์ดีที่เธอมั่นใจว่าช่วยคุ้มภัยได้ทุกอย่างอย่างพาณาสน์
หญิงสาวยึดที่นั่งตรงกราบด้านซ้ายค่อนไปทางหัวเรือ พิงหลังอยู่กับขอบโลหะเส้นบางทว่าแข็งแรงที่ล้อมรอบเรือ ใบหน้าเรียวเชิดขึ้นเล็กน้อยหันไปทางหัวเรือเพื่อรับลมเย็นสบายที่พัดผ่าน ดวงตาหลังแว่นกันแดดสีเข้มมองผิวน้ำระยับซึ่งสะท้อนแสงแดดตามลอนคลื่นอย่างรื่นรมย์ ยิ่งจังหวะที่เรือเอียงตัวจนแผ่นหลังเฉียดผิวน้ำ ละอองฝอยของฟองคลื่นกระเซ็นใส่เป็นระยะยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่น
เธอนั่งเพลิดเพลินกับบรรยากาศ คลอไปกับเสียงแนะนำสถานที่ของไกด์หนุ่มที่ดังขึ้นเป็นระยะจนไม่ทันมองคนรอบตัว เมื่อหันมาอีกทีก็ได้เห็นว่าบรรดาเพื่อนร่วมทางนั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากันเพื่อถกปัญหาบางอย่างแทนที่จะซึมซับความงามของธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น จึงยื่นหน้าเข้าไปโผล่อยู่เหนือไหล่ของคนข้างตัว
“คุยอะไรกันคะ”
“เฮ้ย! อย่าโผล่หัวมาแบบนี้สิณาณ่า” พาณาสน์อุทานเมื่อหันมาเจอใบหน้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ในระยะใกล้
“โผล่ทั้งตัวก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วสาวเจ้าก็ทำท่าจะกระถดตัวจากที่นั่งขอบเรือลงไปอยู่ที่พื้นกลางวง แต่อีกฝ่ายมือไวกว่าจึงรั้งแขนให้กลับไปนั่งที่เดิมได้ก่อน
“ไม่ต้องๆ นั่งอยู่นี่แหละ”
ณอันดานั่งนิ่งตามคำสั่ง แต่ไม่วายกดดันเขาเพื่อขอมีส่วนร่วมในบทสนทนาโดยการจ้องหน้าด้วยดวงตากลมแป๋วอย่างไม่กะพริบแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
“ไม่ใช่เรื่องของเราน่า”
…ยังจ้องอยู่
“ไม่ใช่เรื่องของพี่ด้วย”
…ก็ยังคงจ้องอยู่อีก
“ไม่ยุ่งสักเรื่องไม่ได้เหรอ”
ไม่มีคำตอบด้วยวาจา แต่จากการจ้องเป๋งไร้การขยับเขยื้อนนั้นก็แปลได้ไม่ยากว่า…ไม่ได้ค่ะ ชายหนุ่มจึงต้องยอมแพ้แล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
“เล่าๆ ไปเถอะ ไม่งั้นได้จ้องกันตาหลุดไปข้างนึง”