สีหน้าลู่ซิงเฉิงบอกว่ายังจะถามอีก “เธอดวงซวยขนาดนี้ ฉันยังจะให้เธอทำงานในสำนักพิมพ์ได้อีกเหรอ ถ้าครั้งหน้าเธอซวยอะไรขึ้นมาอีก เธอจะให้สำนักพิมพ์ระเบิดหรือไง” แม้เขาจะไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเทพเจ้าแห่งความโชคร้าย เขาจะไม่หลบก็คงไม่ได้
“บ.ก. ไม่นะคะ” เมื่อเห็นว่า บ.ก. กำลังจะทอดทิ้งตัวเอง ถงเสี่ยวโยวจึงวางกระบอกเซียมซีลงแล้ววิ่งตามเขาไป หลังฝนตกบันไดหินเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ เธอเหยียบแล้วลื่นกลิ้งตุบๆ ลงเขาไป
บันไดหินแข็งมาก ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าตัวเองแทบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดที่หนักหนาก็พุ่งเข้ามา เธอมองเห็นลู่ซิงเฉิงไม่ชัดเจนและค่อยๆ ไกลออกไป เขาคาดการณ์แม่นระดับเทพ เธอได้รับความซวยแบบใหม่อีกแล้ว
ขณะที่ถูกส่งขึ้นรถพยาบาล ถงเสี่ยวโยวคิดว่านี่คงเป็นการพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่เพียงแต่ชัดเจน ยังออกฤทธิ์ได้ดีกว่าปกติอีก เพียงแต่มันเจ็บจนเธออยากจะร้องไห้ออกมาว่านี่มันอะไรกัน
หยดน้ำตาไหลออกมา แก้มขวาเจ็บแปลบขึ้นเป็นระยะ ถงเสี่ยวโยวร้องถามแดลี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างปวดใจ “ฉันเสียโฉมหรือเปล่า”
หน้าผากของถงเสี่ยวโยวกระแทกแตก หน้าซีกหนึ่งเต็มไปด้วยเลือด ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนและปกป้องหมอศัลยแพทย์ที่แท้จริง แดลี่พิจารณาดูแล้วก็ส่ายหน้า “ฉันคิดว่าถ้าไม่ได้โดนถึงกระดูกก็ไม่ต้องศัลยกรรม จมูกไม่เบี้ยวก็ไม่ถือว่าเสียโฉม”
“งั้นฉันจะพิการไหม” ถงเสี่ยวโยวเจ็บจนสะอื้น
“เธอกลิ้งไปที่ขั้นพักของบันได ไม่ได้ตกลงไป ไม่พิการหรอก”
“อ้อ” ถงเสี่ยวโยวรับรู้ จากนั้นก็ได้แต่ถอนใจ “พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปทำงานจริงๆ เหรอ”
ลู่ซิงเฉิงที่ยืนอยู่ไกลออกไปพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชา “มือไม่ได้หัก ทำไมถึงจะไม่ไปทำงาน”
ฉับพลันถงเสี่ยวโยวก็เบิกตาโตราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง อ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก ลู่ซิงเฉิงปรายตามองเธอแล้วก็หันหลังเดินออกไป
แดลี่อธิบายให้ฟังว่า “ไล่ออกขณะที่บาดเจ็บในหน้าที่มันผิดกฎหมายแรงงาน”
ในเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว จึงได้แต่คิดเรื่องที่โชคดีหน่อย
อย่างเช่นเพราะอุณหภูมิบนภูเขาค่อนข้างต่ำ ถงเสี่ยวโยวสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวขายาวอย่างหนา ดังนั้นจึงมีแค่เท้าขวาที่บิดและบวมเท่านั้น แล้วก็มีหน้าผากกับแขนซ้ายที่ถลอก เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวที่รวดเร็วของถงเสี่ยวโยวแล้ว อยู่โรงพยาบาลดูอาการสี่สิบแปดชั่วโมงก็สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ และเนื่องจากบาดเจ็บในหน้าที่ ไม่อย่างนั้นคงต้องออกจากงานแม้ว่าจะได้ค่าบำรุงสุขภาพ แต่ลู่ซิงเฉิงก็ทำตามคำพูดจริงๆ ตอนบ่ายเขาให้แดลี่ส่งบัตรเชิญพร้อมกับรายชื่อยาวเหยียดมาให้
“สุดสัปดาห์บริษัทแม่จะมีงานเลี้ยงประจำปี นี่เป็นรายชื่อแขกที่ชิกเชิญ เธอรับผิดชอบเขียนชื่อแขกบนบัตรเชิญ” แดลี่พูดแล้วก็ชี้ไปที่ขาขวาของเธอ “เขียนหนังสือไม่ต้องใช้เท้า ถูกไหม”
ที่จริงแดลี่ประเมินความอดทนในการทำงานของถงเสี่ยวโยวต่ำเกินไป สำหรับเธอแล้วขอให้ได้อยู่ต่อ จะต้องใช้เท้าเขียนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
“งานเลี้ยงประจำปีต้องคึกคักมากเลยใช่ไหม” ถงเสี่ยวโยวมองแดลี่ด้วยสายตาอิจฉา แม้เธอจะทำงานที่นี่มาสี่ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ร่วมงานเลี้ยงประจำปีเลยสักครั้ง
“ครั้งนี้เธอก็ต้องไปด้วย” แดลี่ทำท่ารูดซิปปากใส่ถงเสี่ยวโยว “ช่วงนี้ก็กินให้น้อยหน่อย น้ำหนักของเธอตอนนี้สวมชุดเบอร์สองไม่ได้”
ไปร่วมงานเลี้ยงประจำปีได้ด้วยเหรอ ทันใดนั้นถงเสี่ยวโยวก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที คัดลายชื่อบนบัตรเชิญอย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ
ว้าว แชมป์ดีไซเนอร์ถ้วยเฟิงซ่างก็มาด้วย ต้องเข้าไปขอลายเซ็น
สุดยอดไปเลย แล้วยังมีดาราใหญ่ด้วย ตัวพ่อตัวแม่แล้วก็มีซูเปอร์สตาร์เท้าไฟ ต้องไปขอถ่ายรูปด้วย
สวรรค์! แม้กระทั่งบิดาแห่งวงการแฟชั่นที่ล้างมือในอ่างทองคำก็เข้าร่วมงานนี้ด้วย แค่ได้เห็นก็มีชีวิตยืนยาวไปอีกสามปี
เมื่อคัดรายชื่อจนถึงหน้าสุดท้าย ถงเสี่ยวโยวก็เห็นชื่อตัวเองที่เขียนไว้ในช่องหมายเหตุว่าเป็นผู้เชิญรางวัล เธอ? ผู้เชิญรางวัล? ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้น
“แดลี่ เชิญใครเป็นพิธีกรในงาน”
แดลี่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังแต่งเล็บงดงามไร้ที่ติของตัวเองอยู่ พูดอย่างไม่ใส่ใจออกมา “มู่หยางไง”
ถงเสี่ยวโยวรู้สึกมีพลังขึ้นมาทันที บ.ก. ต้องการจะส่งเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายอย่างเธอไปปะทะกับศัตรูตัวเอ้อย่างมู่หยาง กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เธอเห็นภาพลู่ซิงเฉิงที่เย็นชาไม่แคร์อะไรแต่มีรอยยิ้มที่ดูหลงตัวเองอยู่
ต่อไปถ้าใครบอกเธอว่าลู่ซิงเฉิงพึ่งโชคชะตา เธอก็ต้องเถียงอย่างเต็มที่ ลู่ซิงเฉิงมีวันนี้ได้ก็เพราะความฉลาดแกมโกง รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งต่างหาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 64 เวลา 12.00 น.