เมื่อพูดถึงสปิริตนักกีฬา คำขวัญของโอลิมปิกที่รีโอเดจาเนโรก็คือโลกใบใหม่
และเมื่อถงเสี่ยวโยวมาถึงที่ออฟฟิศของ บ.ก. ก็เข้าสู่โลกใบใหม่เช่นกัน โลกของการทำงานต่อเนื่องสิบห้าชั่วโมง ในโลกใบนี้ลู่ซิงเฉิงคือนายใหญ่ที่กุมชะตาชีวิต แดลี่เป็นซีอีโอที่จัดการงาน ส่วนถงเสี่ยวโยวเป็นเพียงพนักงานระดับล่างคนเดียวเท่านั้น
“โอลิมปิกไปที่โกดัง เอาชุดสีแดงกุหลาบของซีซั่นนี้ออกมาทั้งหมด”
“เอาดีไซน์ชุดนี้ไปถ่ายเอกสารร้อยชุด ส่งให้ถึงมือดีไซเนอร์ทุกคนในแผนกออกแบบ แล้วบอกกับพวกเขาว่าพวกเขามันเป็นขยะทั้งนั้น”
“จัดเรียงผิด รีบแจ้งให้หยุดการพิมพ์ทันที เริ่มพิมพ์ไปแล้วเหรอ งั้นเธอก็ไปที่โรงงานนอนขวางเครื่องจักรให้มันหยุดทำงานซะ”
งานในหน้าที่ก็ไม่ได้น้อย งานที่นอกเหนือการทำงานคือหน้าที่ ทำงานล่วงเวลาข้ามคืนถือเป็นผลประโยชน์ การขูดรีดของพวกทุนนิยมยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือพวกทุนนิยมทำงานหนักกว่าคุณเสียอีก ถงเสี่ยวโยวมองดูลู่ซิงเฉิงที่ทำงานประหนึ่งเครื่องจักรแล้วไม่มีอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกนับถือเขาในใจมานานแล้ว ซ้ำยังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วย ขณะที่นำอเมริกาโนแก้วที่ห้าไปส่งที่ห้องทำงานนั้นก็กลั้นหาวเอาไว้ไม่อยู่
ลู่ซิงเฉิงเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง “ถ้าคุณง่วง…”
ถงเสี่ยวโยวมองลู่ซิงเฉิงด้วยความซาบซึ้งใจ
เขาพูดว่า “ตบหน้าตัวเองสักครั้งสองครั้งก็ดีขึ้น”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจเธอ แต่ในฐานะที่เป็นลูกน้องถงเสี่ยวโยวก็ยังคงถามเขาด้วยความใส่ใจ “บ.ก. คุณไม่เหนื่อยเหรอคะ”
ลู่ซิงเฉิงยกกาแฟขึ้นดื่ม พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง และสงบนิ่งมากขึ้นทุกที รู้สึกได้ถึงความเมินเฉย ไม่สนใจที่จะแสดงอารมณ์ออกมา “คนที่ทำงานแปดชั่วโมงแล้วเหนื่อยก็น่าจะเป็นคนที่ไม่มีวิวัฒนาการ”
ถงเสี่ยวโยวคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะขยันแล้ว ย่อมรู้สึกไม่พอใจกับคำกล่าวหานี้ แต่ไม่พอใจก็ยังต้องยอมรับคำกล่าวหาของลู่ซิงเฉิง แล้วยังต้องยอมซูฮกให้กับการทำงานต่อเนื่องกันสิบห้าชั่วโมงของเขา “แต่ว่า บ.ก. คะ คนอื่นไม่ได้มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนปกติเหมือนกับคุณนะคะ”
เขาแก้ไขการจัดเรียงไปพร้อมกับหัวเราะเสียงเย็นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ไม่มีพรสวรรค์ความสามารถก็ไปขนอิฐขนปูนซะ จะมาเป็นดีไซเนอร์ทำไม”
การเป็นดีไซเนอร์เป็นความฝันของถงเสี่ยวโยวตั้งแต่อายุสิบหก ความฝันนี้ผ่านมาแล้วเป็นสิบปี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะผลิดอกออกผล แม้แต่ต้นอ่อนก็ยังไม่งอกออกมา เธอรู้ว่ามันน่าตลกมาก แต่มันก็เป็นความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ลบหลู่ไม่ได้ เป็นสิ่งที่นางเอกละครวัยรุ่นจะปกป้องไว้โดยไม่คำนึงถึงอะไร แต่ถงเสี่ยวโยวไม่มีความสามารถที่จะปกป้อง ความต้องการอันน้อยนิดของเธอก็ขอเพียงแค่สามารถอยู่ในวงการแฟชั่นได้ อยู่ที่นี่ที่สามารถมองเห็นความฝันของเธอได้
ถงเสี่ยวโยวจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลู่ซิงเฉิงให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ‘รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้เรียกว่าเป้าหมาย ไม่อาจจะทำให้เป็นจริงได้ถึงจะเรียกว่าความฝัน พูดถึงความฝันก็ไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจ’ นี่คือคำพูดลู่ซิงเฉิงคนที่มีความสามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ แต่ถงเสี่ยวโยวได้แต่เดินอยู่บนเส้นทางที่ยากลำบาก
ดังเช่น “บ.ก. ถ้าฉันทำงานสิบห้าชั่วโมงเหมือนคุณ จะได้เป็นดีไซเนอร์จริงๆ ไหมคะ”
“ไม่ได้”
“งั้น…”
“เธอจะเหนื่อยตาย”
ที่จริงการอยู่ข้างๆ ลู่ซิงเฉิง แรงกดดันทางด้านกายภาพไม่ถือเป็นแรงกดดัน การดูหมิ่นด้านบุคลิกภาพก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น ความรู้สึกล้มเหลวทางจิตใจต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
มีอยู่วันหนึ่งต้องทำงานล่วงเวลา ถงเสี่ยวโยวไปซื้ออาหารมื้อดึกให้กับลู่ซิงเฉิง กลับมาเอาใบเสร็จไปเบิกเงินกับแดลี่ ในตอนนั้นแดลี่กำลังยุ่งกับการจัดเอกสารให้ลู่ซิงเฉิงจึงไม่ได้สนใจเธอ “ใบเสร็จเอาไปขูดรางวัล ถือว่าเป็นการเบิกเงินแล้วกัน”
“ขูดรางวัล?” ถงเสี่ยวโยวพูดไม่ออก ถ้าว่ากันตามเหตุผลเธอเลื่อนตำแหน่งมาทำงานที่ออฟฟิศ บ.ก. จะเลี้ยงลู่ซิงเฉิงกินอาหารค่ำก็ถือเป็นเรื่องที่สมควร แต่เอาใบเสร็จที่แทบจะไม่มีโอกาสถูกรางวัลมาเป็นข้ออ้างจะโลว์ไปสักหน่อยไหม
มองเห็นสีหน้าไม่อยากจะเชื่อของเธอ แดลี่จึงพูดอย่างอดทนว่า “เธอคิดว่า บ.ก. เหมือนกับเธอเหรอไง”
ดวงนำโชคแล้วเจ๋งมากหรือไง จะเชื่อเรื่องงมงายมากไม่ได้หรอกนะ ถงเสี่ยวโยวแอบนินทาอยู่ในใจ ใช้นิ้วชี้ออกมาขูดแถบสีเงินอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ตัวแข็งไปเลย
ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั่นปรากฏตัวอักษรขึ้นว่า
‘ห้าร้อยหยวน’