ชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเย็นจราจรติดขัด รถบนถนนสายหลักขับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ อากาศร้อนอบอ้าว ใครที่ติดอยู่บนถนนต่างอารมณ์หงุดหงิด เสียงแตรรถเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถจักรยานไฟฟ้าพุ่งออกมาผ่านช่องสีฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ช่างดูเหมือนการประชดจราจรอันติดขัดนี้อย่างแรง
“ฉันมีเจ้าลาน้อย ฉันไม่เคยขี่มาก่อน แล้ววันหนึ่งฉันก็รู้สึกคึกขึ้นมาจนขี่ไปตลาด…”
บิดคันเร่งจนสุด ลมเย็นยามค่ำคืนพัดมาโดนใบหน้าทำให้รู้สึกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ ถ้าไม่ร้องเพลงก็ไม่อาจจะปลดปล่อยความรู้สึกตื่นเต้นที่อยู่ในใจออกมาได้ ถูกต้อง ยี่สิบหกปีแล้ว เธอ ถงเสี่ยวโยว ในที่สุดก็พลิกชะตาได้
และในเวลานี้ขณะที่มือข้างหนึ่งของลู่ซิงเฉิงพันผ้าพันแผลไว้ มืออีกข้างก็กำลังเคาะคีย์บอร์ด ฝ่ามือถูกเย็บไปห้าเข็ม นี่เป็นครั้งแรกในสามสิบปีที่ผ่านมาที่ลู่ซิงเฉิงได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่ค่อยถนัด แต่เขาก็ยังเขียนต้นฉบับข้ามคืนตอบโต้การโจมตีของลู่เริ่น แดลี่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ ลู่ซิงเฉิงถามด้วยความมั่นใจว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
วันนี้เป็นงานเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนซีซั่นของชิกซึ่งเกี่ยวพันกับการลงโฆษณาของแบรนด์ดังในนิตยสารของซีซั่นถัดไป ไม่ว่าตำนานของลู่ซิงเฉิงจะมีมากน้อยขนาดไหน แท้จริงแล้วสิ่งที่สนับสนุนเขาก็คือยอดขายของนิตยสารกับการลงโฆษณา เหตุที่ตำนานเป็นตำนานได้ก็เพราะมันสามารถทำให้ทุกอย่างกลายเป็นผลประโยชน์
แดลี่พูดด้วยเสียงต่ำๆ “เวทีเดินแบบมีปัญหา เวินซีตกจากเวทีบาดเจ็บ ข้อเท้าแพลง ตอนนี้การเดินแบบหยุดชะงัก”
สีหน้าของลู่ซิงเฉิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยกมุมปากขึ้น “คุณเขียนต้นฉบับนี้ให้เสร็จแล้วส่งออกไป ผมจะไปดูเอง” น่าสนใจ เขาอยู่มาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับเรื่องใหม่ๆ เช่นนี้
แดลี่จำต้องนั่งลง มองลู่ซิงเฉิงหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปด้านนอก เขารีบพูดขึ้นว่า “เวินซีอยู่โรงพยาบาลประจำมณฑลที่สองนะ”
ลู่ซิงเฉิงเดินออกจากห้องทำงานไปแล้ว มีแต่เพียงเสียงที่ลอดเข้ามา “ฉันจะไปดูที่งาน”
แดลี่ทอดถอนใจอย่างเศร้าๆ “ชายแท้ช่างไร้ความรู้สึก”
เมืองซีในวันหยุดสุดสัปดาห์ รถติดตามสี่แยกจนน่ากลัว รถสปอร์ตสีฟ้าที่ดูสะดุดตาของลู่ซิงเฉิงอยู่ท่ามกลางรถที่ต่อแถวกันยาว ไฟแดงหมดไปหลายรอบ รถของลู่ซิงเฉิงก็ยังไปไม่ถึงสี่แยกสักที มาตรวัดน้ำมันบนจอหน้าปัดขึ้นไฟแดงเตือนว่าน้ำมันเหลือน้อย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไปไม่ถึงงานแน่นอน
ลู่ซิงเฉิงขับรถเบี่ยงไปเลนขวา ตัดสินใจจะอ้อมถนนเส้นนี้ออกไป ไฟเขียวเลี้ยวขวาสว่างขึ้น รถด้านหน้าเคลื่อนตัว เขาเหยียบคันเร่งลงไป แล้วจู่ๆ รถจักรยานไฟฟ้าที่อยู่ในเลนจักรยานก็พุ่งออกมา ลู่ซิงเฉิงรีบหักพวงมาลัยหลบ มือข้างที่พันผ้าพันแผลไว้จู่ๆ ก็ไม่มีแรง เสียงปังดังขึ้น ตัวรถสั่นสะเทือนอย่างแรงจากนั้นก็หยุดนิ่ง
เขาชนกับรถที่อยู่อีกเลน
รถสปอร์ตสองคันชนกันแม้จะไม่รุนแรง แต่ตัวรถที่ทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ก็พังยับ โดยเฉพาะตัวรถของอีกฝ่ายที่ถูกรถของลู่ซิงเฉิงชนจนแทบจะจำทรงเดิมไม่ได้
เจ้าของรถทั้งสองคันลงมาพร้อมกัน พร้อมกับเจ้าของรถจักรยานไฟฟ้าอีกคน ทั้งสามคนมองตากัน
“บอ…บ.ก. เอ่อ มู่…มู่หยาง” เจ้าของรถจักรยานไฟฟ้าที่กำลังมึนงงทำอะไรไม่ถูกก็คือตัวการในการทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ ถงเสี่ยวโยว
ตำรวจจราจรมาถึงด้วยความรวดเร็ว ลู่ซิงเฉิงกับมู่หยางชี้ไปที่ถงเสี่ยวโยวอย่างเห็นพ้องต้องกัน “เธอนั่นแหละ”
ถงเสี่ยวโยวยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเอง เธอขี่จักรยานไฟฟ้าเป็นครั้งแรกเลยดีใจมากไปหน่อย ลืมวิธีการเบรกถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เธอน่ะไม่เหมาะกับเรื่องดีๆ ลองดูสิ เพิ่งจะได้รถจักรยานไฟฟ้ามา ดันมาทำให้รถหรูสองคันชนกัน เธอต้องตัดไตขายเลยล่ะมั้งถึงจะพอชดใช้
เธอยื่นหน้าไปสอบถามอย่างหวั่นๆ “รถของพวกคุณแพงมากเลยใช่ไหม”
มู่หยางยื่นมือออกไปเขียนตัวเลข ถงเสี่ยวโยวตกใจจนขวัญหนี เธอรวบรวมความกล้าและหันไปทางลู่ซิงเฉิง
ลู่ซิงเฉิงมองจักรยานไฟฟ้ากับเฟอร์รารี่ที่มีสีฟ้าเหมือนกัน แล้วตวัดสายตามองเธอ “เธอคิดว่าสีเหมือนกัน รถของเธอกับรถฉันก็จะเหมือนกันได้เหรอ”
“ไม่ใช่แน่นอน” ถงเสี่ยวโยวยิ้มแหะๆ “สีฟ้าของคุณคือสีฟ้าไพลิน สีฟ้าของฉันคือสีฟ้าสเมิร์ฟ”