ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ลู่ซิงเฉิงก็ยังเร่งตำรวจจราจรด้วยสีหน้าที่แทบจะอดทนไว้ไม่อยู่ “เร็วหน่อยได้ไหม ผมมีเรื่องด่วน”
เมื่อมีโอกาสที่จะเยาะเย้ย มู่หยางไม่ปล่อยไปแน่นอน “บ.ก. ลู่คงจะรีบไปที่งานเดินแฟชั่นโชว์สินะ งานเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนซีซั่นเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหอะๆ”
“แล้วพิธีกรมู่จะไปสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม ได้ยินว่าวันนี้สถานีโทรทัศน์มีงาน ใช้บารมีพ่อไปแสดงตัวตนอีกล่ะสิ” ลู่ซิงเฉิงยิ้มตาหยีพร้อมกับตอบโต้กลับแบบนิ่งๆ
มู่หยางพูดไม่ออก ได้แต่จ้องมองเขาอย่างเคียดแค้น “ลู่ซิงเฉิง นายอย่าล้มก็แล้วกัน”
“ที่สูงขนาดนั้นมีผมแค่คนเดียว ใครใช้ให้พวกคุณขึ้นมาไม่ได้ล่ะ” ลู่ซิงเฉิงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มองดูด้วยสายตาของราชาที่พิฆาตผู้คน
ถงเสี่ยวโยวยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ กำลังคำนวณค่าชดใช้ที่สูงมากแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อตำรวจจราจรตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วก็พูดกับถงเสี่ยวโยว “คุณเป็นรถไม่มีเครื่องยนต์ ไม่ต้องรับผิดชอบ” แล้วก็หันไปพูดกับลู่ซิงเฉิง “คุณต้องรับผิดชอบทั้งหมด”
“อะไรนะ” ลู่ซิงเฉิงที่ยืนกอดอกสีหน้านิ่งๆ ถึงกับถลึงตาโต นี่เป็นครั้งแรกที่ถงเสี่ยวโยวได้เห็นท่าทางแบบนี้ของเขา “ทำไมผมต้องรับผิดชอบทั้งหมด”
ตำรวจจราจรไม่ได้สนใจท่าทางตกใจของลู่ซิงเฉิง “บริษัทประกันของคุณล่ะ ยังไงซะก็ให้ประกันจ่าย คุณเป็นเจ้าของรถหรูแบบนี้ยังจะสนเรื่องเงินอีกเหรอ”
ลู่ซิงเฉิงไม่สนใจเรื่องเงิน แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเงินหรือไง เขายกมือขึ้นมองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาสั่งให้เขายุติความวุ่นวายทุกอย่าง ลู่ซิงเฉิงยังคงวางท่านิ่งเฉยแล้วล้วงกระเป๋าหยิบมือถือออกมา เดินไปด้านข้างแล้วโทรไปหาบริษัทประกัน
ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองอยู่ในความฝัน หลีกเลี่ยงการถูกพาดพิง เธอตัดสินใจรีบจากไปก่อนดีกว่า “งั้นฉันไปก่อนได้ไหม”
ตำรวจจราจรบอกด้วยความสุภาพ “ได้แน่นอน”
สวรรค์! ถงเสี่ยวโยวรู้สึกเหมือนกับตัวเองสวมชุดเกราะทองคำอยู่
และแล้ว…
“อะไรนะ ประกันผมหมดไปเมื่อสามวันก่อน” น้ำเสียงของลู่ซิงเฉิงดูร้อนรนกว่าท่าทางเมื่อครู่ “ผู้ช่วยของผมไม่ได้ไปจัดการเหรอ”
เขาโทรหาแดลี่ด้วยความฉุนเฉียว เสียงร้องของแดลี่ดังออกมาจากหน้าจอมือถือ “โอ้ ฉันให้โอลิมปิกไปจัดการ แต่วันนั้นคุณอนุมัติให้เธอลาออก บ.ก. คุณไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ”
ลู่ซิงเฉิงปรายตามองถงเสี่ยวโยวที่กำลังเดินเข้ามา เขาวางสายโทรศัพท์ด้วยความเย็นชาอย่างเป็นธรรมชาติ
ตำรวจจราจรมองไปที่เขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ถ้าอย่างนั้นคุณยังมีความผิดที่ขับรถออกมาโดยไม่มีประกันด้วย”
ถงเสี่ยวโยวสงสัยว่าถ้าไม่ได้อยู่บนถนน มู่หยางคงจะลงไปหัวเราะกลิ้งที่พื้น อย่าว่าแต่มู่หยางเลย แม้แต่เธอก็อยากจะลงไปกลิ้งเหมือนกัน
ออกจากสถานีตำรวจจราจรก็เป็นเวลากลางดึก ลู่ซิงเฉิงหยิบมือถือออกมา หน้าจอโชว์สายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับเจ็ดแปดสาย หนึ่งในนั้นมีสองครั้งเป็นของเวินซี เขามองเพียงครู่เดียวและเลือกที่จะไม่ตอบกลับ เรื่องนิตยสารฉบับใหม่กับการเดินแฟชั่นโชว์เปลี่ยนซีซั่นเป็นปัญหาที่หนักหนา แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว หากไม่อาจพลิกสถานการณ์ก็ไม่ต้องมาระลึกอะไรอีก
ดูเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยมาขัดขาเขาตลอด ลู่ซิงเฉิงสามารถรับรู้ได้แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจมัน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ชีวิตคนก็ต้องอยู่อย่างระมัดระวังเหมือนกับยืนอยู่บนน้ำแข็งบางๆ สิ่งสำคัญก็คือสามารถก้าวออกมาก่อนที่มันจะแตกร้าวได้ไหม ไม่อาจจะยืนหยุดอยู่ที่เดิมตลอดไปโดยไม่หันกลับ
แดลี่จอดรถอยู่หน้าลู่ซิงเฉิง เขาเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง
แดลี่เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “บ.ก. ครับ เรื่องค่าชดใช้…”
“โอนไปให้มู่หยาง”
“ครับ” แดลี่พยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นอีก “แต่ดูเหมือนเงินในบัญชีของ บ.ก. จะไม่พอ…”
“ไปหาที่ปรึกษาซุน ฉันมีเงินลงทุนที่กำลังจะครบกำหนดอาทิตย์หน้า” ลู่ซิงเฉิงลดกระจกลงให้อากาศระบาย บนถนนไร้รถยนต์คันอื่น มีรถจักรยานไฟฟ้าขับผ่านไปหลายคัน เขาขมวดคิ้ว “ช่วงนี้คนนิยมรถจักรยานไฟฟ้ากันเหรอ”
“ใช่ครับ เดินทางสะดวกแล้วก็ประหยัดเงิน” แดลี่มองเขาด้วยความประหลาดใจ “บ.ก. คุณจะลงทุนด้านรถจักรยานไฟฟ้าเหรอครับ”
“ไม่ ฉันต้องการซื้อจักรยานไฟฟ้า” ลู่ซิงเฉิงยิ้มอย่างมั่นใจ “แจกให้คนในสำนักพิมพ์คนละคัน”
แดลี่ไม่เข้าใจ ลู่ซิงเฉิงจึงพูดต่อ “อีกอย่างก็รีบจัดงานแถลงข่าวขึ้นมา” หากจะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับรอรับคำวิจารณ์ สู้เป็นฝ่ายรุกพลิกสถานการณ์จะดีกว่า
กระจกรถค่อยๆ เลื่อนขึ้น ตัดขาดโลกภายนอกไว้นอกหน้าต่าง เขาหรี่ตาคิดอะไรบางอย่างได้ “ช่วงนี้โอลิมปิกนั่นเป็นยังไงบ้าง”
แดลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เลือกที่จะเงียบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ย. 64 เวลา 12.00 น.