(3)
ขณะที่แววตาของเสิ่นเสี่ยอี้เต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ ลี่เจ๋อเหลียงก็ลุกไปห้องน้ำ ขอเพียงเขาไม่ได้เป็นโรครักสะอาดก็ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยแน่ เสิ่นเสี่ยอี้ภาวนาอยู่ในใจ
ลำบากไม่น้อยกว่าเสิ่นเสี่ยอี้จะตามหาหยางวั่งเจี๋ยที่กำลังยุ่งอยู่พบ เธอทำได้เพียงรบกวนเขา “คุณหาเสื้อเชิ้ตผู้ชายให้ฉันตัวหนึ่งได้หรือเปล่า”
“ใหญ่แค่ไหนล่ะ”
“พอๆ กับคุณนี่แหละ”
“ได้สิ ผมจะถามเจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวให้”
คนคนนี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ไม่ทันไรก็ถือเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งกลับมา เสิ่นเสี่ยอี้หยิบเสื้อเชิ้ตมาพิจารณาอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าพอใช้ได้ เธอกังวลเรื่องที่ลี่เจ๋อเหลียงมักจะปากอย่างใจอย่าง ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าถึงปากเขาบอก ‘ไม่เป็นไร’ แต่ในใจจะไม่คลุ้มคลั่งแทบเป็นแทบตาย
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องน้ำก็ถูกเงาร่างคนคนหนึ่งดักทางไว้
“ทนายเสิ่น” เป็นจูอันไหวนั่นเอง “มีที่ไหนบ้างที่เราจะไม่เจอกัน”
“คุณจู บังเอิญจังนะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้พยายามตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนที่สุด
“ไม่ได้บังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิตต่างหากล่ะ” จูอันไหวขวางทางที่เธอจะเดินไปเอาไว้ ย่อตัวลงคิดอยากแนบชิด “เมื่อไหร่ทนายเสิ่นจะตอบรับเป็นแขกล่ะครับ พวกเราจะได้มาเจอกัน”
เสิ่นเสี่ยอี้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลีกเลี่ยงจากใบหน้าของเขา “คุณจู ได้โปรดระวังการกระทำด้วยค่ะ”
“ระวังการกระทำงั้นเหรอ คุณเมื่อสักครู่นี้ที่กระตือรือร้นเป็นกันเองไปอยู่ไหนซะแล้วล่ะ พออยู่ต่อหน้าผมกลับทำตัวเป็นทนายที่ยึดมั่นในคุณธรรมงั้นเหรอ”
บริเวณนี้เป็นส่วนลึกของทางเดิน มีคนอยู่น้อยมาก บางครั้งก็มีพนักงานเดินผ่านไป ทว่าพวกเขาไม่รู้สถานการณ์จึงรู้สึกประดักประเดิดที่จะมองมายังพวกเขา เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อยากให้จูอันไหวสิ้นเปลืองน้ำลายจึงมองไปที่เขาอย่างเยือกเย็น คิดอยากจะเดินอ้อมตัวเขาไป
ทว่าเสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะก้าวขา จูอันไหวก็ยันตัวเธอเอาไว้กับผนัง “ยายแซ่เสิ่น ผมน่ะเกลียดแววตาแบบนี้ของคุณที่สุดเลย” กล่าวไปเขาก็ออกแรงบีบคางของเสิ่นเสี่ยอี้ไว้ “อย่าคิดว่าตัวเองอิงแอบภูเขาที่แข็งแรงแล้วผมจูอันไหวจะไม่กล้าแตะต้องคุณล่ะ ผู้หญิงอย่างเซี่ยงเหวินฉิงน่ะไม่ได้น่าสนใจสำหรับผมแล้ว ไม่ช้าก็เร็วผม…”
ขณะที่จูอันไหวพูดไปได้ครึ่งหนึ่งเขาก็โน้มใบหน้าเข้าหาเสิ่นเสี่ยอี้ด้วย ฉับพลันก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อจูอันไหวมาจากที่ไกลๆ เสิ่นเสี่ยอี้ฉวยโอกาสออกแรงผลักเขาออกไป ก่อนจะพลิกฝ่ามือเปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง สอดตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
เธอล็อกประตูอย่างรีบเร่ง จากนั้นจึงเริ่มสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลางวันแสกๆ ก็มีคนชั่วช้าแบบนี้ด้วย เธอทักทายบรรพบุรุษสกูลจูรุ่นที่สิบแปดในใจพลางหันหลังไปด้วย
ชั่วขณะที่เธอหมุนตัว ลี่เจ๋อเหลียงก็เพิ่งออกมาจากด้านใน มือขวากำลังรูดซิปกางเกงขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่ง
เสี้ยววินาทีนั้นทั้งสองคนงุนงงไปพร้อมๆ กัน
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” เสิ่นเสี่ยอี้ตรงไปหาอีกฝ่ายก่อน แต่สายตากลับมองไปยังท่อนล่างของลี่เจ๋อเหลียงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ลี่เจ๋อเหลียงรีบรูดซิปให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงสูงขึ้นด้วยความโกรธเคือง “ที่นี่เป็นห้องน้ำชาย คุณบอกว่าผมมาทำอะไรที่นี่เนี่ยนะ” คราวนี้เขาไม่ได้มีสีหน้าที่ดีให้เธอ
ห้องน้ำชายงั้นเหรอ
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินคำพูดของเขาก็รีบร้อนมองดูการจัดแต่งโดยรอบ เธอพลันรู้สึกวิงเวียน เลือดร้อนพุ่งขึ้นสู่ศีรษะ ใบหน้าแดงราวกับมะเขือเทศสุก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรไปชั่วขณะ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกไปอย่างไรดี
ระหว่างที่เสิ่นเสี่ยอี้ร้อนใจก็เห็นเสื้อเชิ้ตในมือตัวเอง จึงทำได้เพียงกล่าวเถียงข้างๆ คูๆ ไปว่า “ฉันรู้ว่าคุณอยู่ในห้องน้ำ ก็เลยตั้งใจมาส่งเสื้อเชิ้ตให้ค่ะ”
อืม ใช้ได้เลยล่ะ
เธอค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองในยามคับขันของตัวเองมาก ยังกล่าวต่อไปว่า “ฉันกลัวว่าคุณลี่จะรีบใช้เลยรีบร้อนไปหน่อย ไม่ทันได้เคาะประตูก็พรวดพราดเข้ามาทั้งอย่างนี้ ขอโทษด้วยนะคะ”
กล่าวจบเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยื่นเสื้อเชิ้ตไปถึงมือเขาก่อนจะเปิดประตูออกไปดูด้านนอก เมื่อตรวจสอบสถานการณ์แล้วพบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเธอจึงยืดเอวเดินออกไป
ส่วนลี่เจ๋อเหลียงในเวลานี้ยืนอยู่ด้านหลังเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ ขมับเกร็งตึงอย่างเห็นได้ชัด