“คณบดีสวีแจ้งว่าสถาบันวิจัยส่วนกลางส่งจดหมายมา ระบุชื่อผมให้มาที่ฐานวิจัย ตอนนั้นรถของทางสนามบินก็มาจอดคอยอยู่ที่ประตูทางเข้ามหา’ลัยแล้ว ผมนึกว่าเป็นการเยี่ยมชมทัศนศึกษาแบบธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด พอถึงสนามบินก็จัดการเอามือถือมารวมไว้ที่เดียวกันเลย”
ชูหนิงพูดอู้อี้ “แล้วทำไมก่อนไปไม่โทรศัพท์บอกฉันล่ะ”
อิ๋งจิ่งพูดเสียงหวาดๆ อย่างรู้สึกผิด “เราทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ชูหนิงโมโหทนไม่ไหว หยิกแขนเขาอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้ลงมือแบบจริงจัง อิ๋งจิ่งเจ็บจนสะดุ้ง
“ไม่กล้าแล้วๆ ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้วครับ”
เบ้าตาชูหนิงร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง เธอจับเสื้อของเขา สะอึกสะอื้นหายใจติดขัด
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว อิ๋งจิ่งเป็นคนจัดการกับเรื่องราวที่ตามมาภายหลัง เขาเหมือนเป็นหนุ่มเจ้าบ้านที่พูดขอบคุณคนขับรถหนวดเฟิ้มอย่างสุภาพนอบน้อมและจ่ายเงินแทนชูหนิง ตกลงราคากันไว้ว่าหนึ่งพันสองร้อย ทว่าเขาให้ไปเลยสองพัน
เส้นทางยากลำบากและเสี่ยงอันตราย สามารถพาชูหนิงมาส่งถึงที่ได้อย่างปลอดภัย เขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณจากใจ
คนขับรถหนวดเฟิ้มบอกว่าไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น พูดภาษาจีนกลางแปร่งๆ ด้วยสำเนียงเสฉวนปนทิเบต ชี้ที่โทรศัพท์มือถือพร้อมพูดเสียงดัง
“เพิ่มเพื่อนวีแชตผม ต่อไปคุณเป็นคนแนะนำธุรกิจให้ผมสิ แล้วผมจะหักเปอร์เซ็นต์ที่ได้ให้คุณ”
อิ๋งจิ่งตบไหล่อีกฝ่าย พูดเสียงสดชื่น “ได้ครับ!”
แล้วกิจกรรมการไล่ตามสามีตลอดระยะทางไกลพันลี้ก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ อิ๋งจิ่งเป็นคนเดินนำพาเธอเข้าไปในฐานวิจัย ชูหนิงยังมีความกังวล
“หรือไม่งั้นฉันไปเปิดห้องพักที่ในตัวอำเภอดีกว่าไหม”
พี่เหรินผ่านมาได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดีก็รีบช่วยพูดให้หายกังวล “ไม่ต้องๆ ผมจะจัดเตรียมให้ มีห้องพักรับรองแขกอยู่ในฐานวิจัยครับ ถึงแม้สภาพจะเป็นแบบทั่วๆ ไป แต่ก็สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยนะครับ” พูดเสร็จก็ยื่นมือออกมาอย่างอบอุ่นเป็นมิตร “สวัสดีครับ ผมชื่อเหรินชิงหมิง เป็นผู้รับผิดชอบงานธุรการของที่นี่ ยินดีต้อนรับสมาชิกครอบครัวผู้มาเยี่ยมชมที่นี่นะครับ”
ชูหนิงจับมือตอบอย่างสุภาพ รู้สึกกระอักกระอ่วน จะปฏิเสธก็ไม่ใช่ จะตอบรับก็ไม่เชิง
ส่วนอิ๋งจิ่งแอบดีใจเงียบๆ พยักหน้ารัวเหมือนไก่จิกข้าวสาร “อืมๆๆ!”
ชูหนิงแอบเอามือดึงที่ด้านหลังเอวของเขาเบาๆ ไม่ได้ออกแรงมากมายนัก ออกจะเป็นการออดอ้อนเสียมากกว่า
เวลานี้ค่อนข้างดึกแล้ว คงไม่เหมาะที่จะทำเป็นเรื่องใหญ่เอิกเกริก พี่เหรินรีบจัดเตรียมห้องให้เสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว และยังเอาน้ำผึ้งของท้องถิ่นหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวสองลูกมาเสิร์ฟให้ด้วย
“ดื่มอะไรที่หวานๆ หน่อยนะครับ ที่นี่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมาก ระวังจะมีอาการแพ้ที่สูง*”
ชูหนิงหิวมากจริงๆ เคี้ยวกลืนอย่างตะกละตะกลามโดยไม่สนใจภาพลักษณ์
“ช้าๆ หน่อย” อิ๋งจิ่งหยิบกระดาษทิชชูเช็ดที่มุมปากให้เธอ พูดอย่างไม่สบายใจ “คุณอยู่แก้ขัดไปก่อนหนึ่งคืนนะ ไว้พรุ่งนี้ผมจะพาคุณออกไปเดินเล่น”
ชูหนิงไม่พอใจที่เขาเช็ดไม่สะอาด หันหน้าทางขวาไปหาเขาอีกครั้ง ทำปากจู๋เพื่อให้เขาเช็ด แล้วกระดาษทิชชูก็แตะประทับตรงมุมปากด้านขวาของเธออย่างแผ่วเบา
เธอกินไปด้วยถามไปด้วยว่า “พรุ่งนี้นายไม่ต้องทำงานเหรอ”
“การทดลองภาคค่ำสำเร็จแล้ว พรุ่งนี้ผมจะขอลาหยุด”
“ลาได้เหรอ”
“ผมไม่ได้อยู่ตำแหน่งหน้าที่เฉพาะประจำฐานวิจัยน่ะ ข้อกำหนดไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น” อิ๋งจิ่งพูด “ที่สั่งการไว้คือให้ผมอยู่แค่อาทิตย์เดียว”
ชูหนิงพูดเออออตาม พอกินเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดถ้วยชาม
อิ๋งจิ่งเป็นคนเอาพวกมันออกไป ไม่นานนักก็กลับเข้ามาอีกรอบ แล้วปิดประตู
ชูหนิงเหลือบมองเขาครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร นั่งพักผ่อนอยู่บนม้านั่ง
ส่วนอิ๋งจิ่งก็รู้งานตัวเองดี นั่งยองๆ ลงบนพื้นและเก็บข้าวของสัมภาระให้เธอ กระเป๋าเดินทางสไตล์คลาสสิกของหลุยส์ วิตตองก็ถูกหลุมบ่อตะปุ่มตะป่ำตลอดเส้นทางทำลายเสียจนมีสภาพน่าอนาถไม่อาจทนดูได้ อิ๋งจิ่งนำเสื้อผ้าข้างในมาพับซ้อนกันใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวัง จับโดนเสื้อชั้นในกางเกงในก็ยังคงสงบนิ่งแสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสื้อชั้นในแบบลูกไม้สีดำ กางเกงในสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ นอกจากเนื้อผ้าฝ้ายที่เป็นผืนเล็กๆ นั้นแล้ว ตรงส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นเส้นด้ายบางๆ…
ชูหนิงเองก็นิ่งเฉย มองอิ๋งจิ่งจัดเก็บข้าวของอยู่เหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เขานั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น กำลังก้มหน้า มือเป็นระวิง เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนที่จัดระเบียบงานในบ้านได้อย่างค่อนข้างมีระบบระเบียบ
ไม่นานนักสภาพข้าวของก็ใหม่เอี่ยมอ่อง