Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ
ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 65
“หนิงเอ๋อร์” เขาเรียกชื่อของเธอ ภายในใจเจ็บปวดเศร้าโศกยากเกินที่จะพูดออกมา ทั้งทุกข์ทน พ่ายแพ้ หมดหวัง ไร้สิ้นเรี่ยวแรง “ผมรู้ว่าคำพูดนี้ออกจะไม่เอาไหน ไม่ค่อยสมกับเป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อผมเผชิญหน้ากับคุณ ช่างไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเอาเสียเลย คุณทั้งสวย เก่ง แวดวงสังคมในชีวิตคุณก็สูงส่งยิ่งใหญ่ ส่วนผมน่ะเป็นแค่นักศึกษาที่ยากจนคนหนึ่ง อนาคตยังไม่มีความแน่นอนชัดเจน ในตอนนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มีสถานะปานกลาง ผมชอบคุณนะ ชอบมากๆ เวลาที่ไม่มีคุณอยู่ก็รู้สึกไม่ชอบใจ กว่าจะเจอคนที่รักได้ช่างยากเย็นขนาดไหน การจะรักใครสักคนหนึ่ง คงเป็นใครก็ได้ แต่คุณก็คือคนคนนั้นที่ผมรัก”
ขณะที่พูดๆ อยู่ เบ้าตาของอิ๋งจิ่งก็เริ่มแดงเรื่อ เขาจับมือของเธอมาวางไว้ที่ริมฝีปากแล้วประทับจูบอย่างแผ่วเบา
“แม้ว่าตอนนี้คุณจะเป็นแฟนผมแล้วก็ตาม มีบางครั้งที่ผมก็ฝัน ในความฝันคุณเป็นเหมือนผีเสื้อที่กระพือปีกโบยบินไปยังดวงตะวัน ผมร้องไห้ไล่ตามไป ตะโกนร้องแหกปาก แต่คุณก็ยังโบยบินไป แล้วก็ไม่หวนคืนกลับมาอีกเลย”
เขาสูดจมูก การแสดงความอ่อนแอเช่นนี้เป็นความจริงใจและความตรงไปตรงมาที่สุดของเขา
“เมื่อก่อนผมไม่เคยเป็นแบบนี้ หลังจากที่ผมเจอคุณแล้ว ผมหมดสิ้นความมั่นใจในตัวเอง ผมไม่คู่ควรกับคุณ ผมกลัวคุณไม่ต้องการผม ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งวุ่นวายใจเท่านั้น คะ…คุณ…คุณเข้าใจบ้างไหม”
เขาพูดจาละล่ำละลักเล็กน้อยพลางส่ายหัว
แต่ว่าชูหนิงเข้าใจที่เขาพูด
เธอจับมือตอบเขา ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายนัก แต่อุณหภูมิของฝ่ามือปลอบประโลมเขาได้มากทีเดียว เงียบสงบ ไร้สุ้มเสียงใด ทว่าบรรยากาศกลับให้ความเป็นมิตรและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
ชูหนิงเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “นายดีมากแล้วนะ อายุน้อย เฉลียวฉลาด เรียนเก่ง มีอุดมการณ์ มีจิตใจโอบอ้อม มีความกระตือรือร้น และยังจิตใจดี นายใสซื่อบริสุทธิ์และเรียบง่าย อยู่ด้วยกันกับนาย ฉันไม่ได้ต้องการอะไรอีก ฉันมีความสุขมากนะ”
อิ๋งจิ่งกะพริบตาแล้วเอ่ยถาม “จริงเหรอ”
“จริงสิ”
มุมมองทัศนคติของชูหนิงมีแต่ชุดหลักการของตัวเอง ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร สิ่งใดสามารถสู้ได้ เรื่องอะไรที่ไม่สามารถรับมือถูไถได้ เธอมองเห็นและรู้ชัดเจนแก่ใจดี
“บนโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ ต่อให้แสดงออกอย่างสวยงามเลิศเลอไร้ที่ติแค่ไหนก็เป็นคนสามัญธรรมดาที่ต้องใช้ชีวิตแบบพื้นฐานทั่วไป บริโภคพืชพรรณธัญญาหารไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ คนแบบนายน่ะดีมากแล้วนะ มีข้อบกพร่องนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา นายดื้อรั้นได้เลย ฉันยินดีที่จะตามใจนาย”
ที่ชูหนิงต้องการก็แค่คนธรรมดาที่เรียบง่าย
เขาไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำเป็นวางมาด ไม่จำเป็นต้องคิดวางแผนปองร้ายใคร เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น ประสบการณ์ชีวิตของเธอเติบโตมาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ พ่อผู้ให้กำเนิดจากไปก่อนวัยอันควร ขาดความรักจากพ่อ ส่วนผู้เป็นแม่ที่ขี้ขลาดพึ่งพาคนอื่นตลอดชีวิตนั้นได้แต่สั่งสอนสิ่งที่เป็นเงาของตนเองให้กับเธอ วิธีการใช้ชีวิตในสังคมก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่แปดเปื้อนทักษะเล่ห์กลเหล่านั้น ภายหลังเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็ตรากตรำฝึกฝนทำงานในสังคม เริ่มต้นทำธุรกิจ รักษากิจการ ยุ่งจัดการงานตั้งแต่กลางวันจนถึงกลางคืน กลายเป็นคนที่สับสนและเลื่อนลอยไปเลย
อิ๋งจิ่งก้มหน้าลงซุกดวงตาอยู่ในฝ่ามือของเธอ
ไม่นานนักชูหนิงก็รู้สึกถึงกระแสความร้อนที่ค่อยๆ หลั่งรินลงมา
เธอไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดจา เธอต้องการสัมผัสรับรู้ความรู้สึกในใจที่เผยออกมาอย่างเงียบเชียบให้เต็มที่
ทว่าผ่านไปไม่นานอิ๋งจิ่งก็เอียงศีรษะกลับมามองเธออีกครั้ง ยังคงมีร่องรอยเปียกชื้นตรงหางตา เขาพูดเสียงอู้อี้
“ผมเจอกับถังเย่ามาทั้งหมดสามครั้ง เขาเหมือนหนิวผีถังที่คอยทำตัวตามติดไม่ยอมปล่อย ทำให้ผมไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างเขาได้เลย”
ชูหนิงเข้าใจ จนถึงตอนนี้เธอกับอิ๋งจิ่งก็พูดจากันอย่างซื่อสัตย์จริงใจกันจริงๆ ได้เสียที
เธอยิ้ม “แน่นอนสิ อีกฝ่ายเป็นใครกันล่ะ ถ้าอยากจะทำอะไรแล้ว สามารถคิดเหตุผลได้นับหมื่น”
อิ๋งจิ่งไม่สนใจไยดี “ผมไม่ชอบคนแบบนี้ สร้างความกดดันให้คนอื่นเกินไป ทะนงตนอย่างกับอะไรดี ไม่ว่าอะไรก็มั่นหมายจะต้องเอามาให้ได้”
“เขามีข้อได้เปรียบ เทียบกันแล้วคนอย่างฉันไม่มีค่าที่จะต้องพูดถึงเลยสักนิด”
“เหลวไหล ผมว่าคุณเยี่ยมยอดที่สุดแล้วล่ะ” อิ๋งจิ่งพูดอย่างไม่มีปิดบัง “ประธานถังเสนอเงื่อนไขที่น่าดึงดูดจริงๆ แต่เขายืนกรานที่จะเป็นผู้ลงทุนแต่เพียงผู้เดียว ทั้งหมดนั้นผมไม่เคยตกปากรับคำมาตลอด ที่ผมไม่บอกคุณก็ไม่ใช่ว่าจงใจที่จะไม่บอก แต่ผมกลัวคุณคิดมาก เพื่อลดปัญหาที่ยุ่งยากลงไป ผมแค่อยากทำให้มันผ่านไปได้ด้วยตัวผมเอง”
สายตาของอิ๋งจิ่งจับจ้องเวียนวนอยู่ที่ใบหน้าของเธอ มองแล้วมองอีก “เรื่องราวก็เป็นแบบนี้แหละ” เขาหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง “…คุณกลอกตาใส่ผมทำไมน่ะ”
ชูหนิงอดไม่ไหวที่จะยกมือขึ้นมา ดีดใส่ที่หน้าผากของเขาอย่างแรง “เหนื่อยหรือเปล่าเนี่ย”
อิ๋งจิ่งทำแก้มตุ่ย “ตอนนั้นกลัวว่าจะทะเลาะกับคุณไม่ใช่เหรอ ไม่คิดว่าจะเป็นการยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง*”
เนิ่นนานผ่านไปชูหนิงถอนหายใจออกมา
“ฉันไม่ได้ซื่อบื้อนะ ฉันเองก็รู้จักตัวเองดี ข้อได้เปรียบในธุรกิจของฉันแต่เดิมก็ไม่ได้คร่ำหวอดอยู่ในสายนี้ ศักยภาพที่มีไม่อาจเทียบเท่าความทะเยอทะยาน แต่นายน่ะ นายคู่ควรเหมาะสมกับเวทีที่กว้างใหญ่กว่านี้”
อิ๋งจิ่งสับสน ขยับปากเล็กน้อย เหมือนอยากจะเอ่ยอะไรแต่กลับไม่ได้พูดออกมา
“ว่ากันตามตรงแล้ว บริษัทหมิงเย่าเคอช่วงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนายในตอนนี้จริงๆ ไม่สิ แม้กระทั่งในอนาคตด้วย” ชูหนิงเองก็พูดอย่างจริงใจเช่นกัน ประเด็นที่พูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นความหวังดีกับอิ๋งจิ่งอย่างแท้จริง
ร่างกายเธอยังอ่อนเพลีย ครั้นพูดจานานๆ ก็เกิดอาการหอบหายใจไม่ทันอีกครั้ง เธอลดเสียงเบาลงบ้าง “นับแต่ที่ฉันอายุยี่สิบหกปีมานี้ นายเป็นคนที่ฉันวางเดิมพันเอาเงินทุนที่สะสมมาอย่างยากลำบากลงทุนด้วยมากที่สุด ไม่สิ ไม่ใช่การวางเดิมพัน” เธอพูดแก้ให้ถูกต้อง เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เป็นความแน่นอน”
ในชั่วขณะนี้อิ๋งจิ่งฟังแล้วรู้สึกมีความสุขเต็มเปี่ยม
“ถ้าหากมีองค์กรธุรกิจที่เหมาะสมหยิบยื่นโอกาสให้นาย ฉันหวังว่านายจะพิจารณามันอย่างจริงจัง หนทางนี้มีความยากลำบากมาก ฉันหวังว่าจะมีคนที่คุ้มกันปกป้องนายได้มากกว่านี้”
ในค่ำคืนนี้ แม้จะอยู่ในสถานที่ที่ไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เท่าไหร่นัก ไม่มีคำพูดสาธยายร่ายยาว ไม่มีคำมั่นสัญญาที่องอาจห้าวหาญ แต่ทั้งสองคนซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน เป็นการก้าวไปข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
อิ๋งจิ่งไม่อาจทนเห็นเธอพูดจานานๆ ได้ น้อยครั้งที่จะฝืนบังคับสั่งให้เธอนอน
อาการแพ้ที่สูงเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัดมาก ชูหนิงเองก็ไม่ได้ฝืนทน เธอหลับตาลงแล้วก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเธอหลับลึกแล้ว อิ๋งจิ่งจึงได้ไปหาพยาบาลเพื่อขอยืมเก้าอี้พับสำหรับเอนนอนตัวหนึ่งมาวางตั้งที่ข้างเตียงอย่างเบาไม้เบามือและเฝ้าเธออยู่ตลอดทั้งคืน