Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ
ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 65
จูบในตอนนี้แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งและรุนแรงจนเธอไม่อาจทัดทานได้
อิ๋งจิ่งทนไม่ไหวอีกแล้ว สัมผัสเข้าไปในชายเสื้อของเธออย่างร้อนรน ผิวที่ละเอียดอ่อนตรงเอวช่างให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างชัดเจน เขายังคงจดจำได้ว่าตำแหน่งที่เหนือขึ้นไปสามนิ้วเมื่อคืนนั้นมันช่างเย้ายวนทำให้คนไม่อาจหักห้ามใจได้ขนาดไหน
ชูหนิงหอบหายใจ หน้าตากล้ำกลืนฝืนทน
อิ๋งจิ่งยังคิดพะวงเรื่องอาการแพ้ที่สูงของเธอ ครั้นรู้ถึงความร้ายแรง เขาก็พลันถอยออกไปและคลายมือออกทันที ก่อนจะลูบหลังของเธอ
“หนิงเอ๋อร์ ยังทนไหวใช่ไหม”
ชูหนิงเม้มริมฝีปาก มองเขาด้วยสายตาหงุดหงิดโมโห “นายอย่าทำอะไรซี้ซั้วอีก”
อิ๋งจิ่งยกมือทำท่ายอมแพ้ “ครับๆๆ จะทำตัวว่าง่ายทั้งวันเลย โอเคไหม”
รถตู้ขับมุ่งหน้าต่อไป
อิ๋งจิ่งแอบมองชูหนิงอยู่เรื่อยๆ
ชิ แฟนเรานี่มันสวยมากจริงๆ!
ใกล้เที่ยง ทั้งสองคนก็มาถึงที่หุบเขาสาวงาม สภาพพื้นที่แห่งนี้เป็นถิ่นทุรกันดารซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่กี่ปีมานี้ได้รับการสนับสนุนและพัฒนา หมู่บ้านชาวทิเบตนับไม่ถ้วนเป็นจุดเด่นของที่นี่ ภูเขาหิมะที่มีหมอกขาว แสงอาทิตย์ที่ผ่องแผ้ว หินมรกตในบ่อน้ำใสเหมือนหลับใหลอย่างสงบ
สิ่งที่เป็นความงดงามมิใช่มนุษย์ ทว่าเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่โลกได้มอบให้ไว้
แม้ว่าอุณหภูมิที่นี่จะไม่ได้สูงมากนัก แต่รังสีอัลตราไวโอเลตช่างรุนแรง อิ๋งจิ่งซื้อผ้าคลุมไหล่จากชาวทิเบตที่อยู่ริมทางให้ชูหนิง เอาผ้าพันห่อเธออย่างแน่นหนามิดชิด ทั้งยังสวมแว่นกันแดดให้อีกอัน
“อย่าโดนแดดเผาเอานะ”
สายตาเขาคอยจดจ่อ เคลื่อนไหวอย่างบรรจง จับจ้องมองเขม็งอยู่ที่หน้าอกของเธอ
ชูหนิงจงใจขยับไปข้างหน้าเข้าไปถูไถอยู่ใกล้ๆ อิ๋งจิ่งสั่นเทาไปทั้งตัว ดวงตาดำขลับจ้องมองเธอ ชูหนิงเลิกคิ้วแล้วหันไปดูทิวทัศน์อีกด้านหนึ่ง ทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
…เป็นผู้หญิงที่ร้ายจริงๆ
สำหรับที่เสฉวนและทิเบตไม่จำเป็นต้องเจาะจงไปยังจุดชมวิวสำหรับการท่องเที่ยวอะไรเลย เพียงแค่เดินออกไปข้างนอก ทุกแห่งหนล้วนเป็นแดนสวรรค์
ทีแรกชูหนิงอยากจะพกเอากล้องมาถ่ายรูปด้วย โชคดีที่ไม่ได้เอามา กล้องนั้นหนักเทอะทะ ถ่ายโดยใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ละรูปที่ได้ก็เป็นภาพไฟล์ขนาดใหญ่แล้ว
ทั้งสองคนเดินๆ ดูๆ กันไปจนถึงในหมู่บ้านทิเบตแห่งหนึ่ง
ผู้คนที่อยู่อาศัยที่นี่ค่อนข้างรวมกลุ่มกัน มีกลิ่นอายแห่งชีวิตค่อนข้างเข้มข้น และยังมีการตากข้าวบาร์เลย์ไว้บนพื้นด้วย
ชูหนิงชี้ไปตรงที่ที่หนึ่งแล้วถามว่า “นี่คืออะไร”
อิ๋งจิ่งนั่งยองๆ หยิบขึ้นมาบี้ดูนิดหน่อยก่อนจะตอบ “ผลมะเดื่อตากแห้ง”
“ทานได้ไหม”
“แน่นอน ถึงที่นี่จะเป็นเขตพื้นที่ราบสูง แต่ก็สามารถผลิตพวกแอปเปิ้ล เชอรี่ป่า อะไรทำนองนั้นได้ ปราศจากสารพิษปนเปื้อน น้ำหวานฉ่ำ คุณดูผลมะเดื่อนี่สิ ให้รสชาติฝาดหอมมากเลย”
อิ๋งจิ่งเหลือเศษเล็กๆ อยู่ในมือและลองลิ้มชิมรส “ใช้ได้เลยจริงๆ”
ชูหนิงคิดขึ้นได้ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งเครียด “หยุดทานเดี๋ยวนี้นะ!”
“ทำไมเหรอ”
“นายไม่เห็นแผ่นหินจารึกตรงทางเข้าหมู่บ้านเหรอ บนนั้นเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าอย่าทานซี้ซั้ว ถ้าทานของบ้านใครเข้าไปก็จะต้องเป็นลูกเขยของบ้านเขานะ!”
อิ๋งจิ่งหน้าตางุนงง “…มีเขียนด้วยเหรอ”
“มี!”
“แต่เมื่อกี้ผมไม่เห็นแผ่นหินจารึกอะไรเลยนะ”
“นายซื่อบื้อเหรอ” ชูหนิงพูดด้วยเหตุผลฉะฉาน “ฉันบอกว่ามีก็มีไง นายดูคนบ้านนี้สิ” เธอยังเชิดคางไปทางราวตรงหน้าต่างของบ้านหนึ่งอย่างสมจริงสมจัง “เห็นหรือเปล่า พ่อตากำลังยิ้มกับนายอยู่ตรงนั้นนะ”
สายตาอิ๋งจิ่งมองสูงขึ้นไปตามที่เธอพูด ที่ชั้นสองของบ้านหลังนี้มีคุณปู่ชาวทิเบตคนหนึ่งยิ้มให้พวกเขาอยู่จริงๆ
ครั้นสบสายตากัน ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมา เพียงแต่ว่าเป็นภาษาทิเบต พูดยาวพรืดเป็นชุด ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ
ชูหนิงสงบนิ่งมาก เข้าไปพูดใกล้ๆ ข้างหูอิ๋งจิ่งว่า “ฉันจะแปลให้นายฟังนะ เขาพูดว่าไม่เลวเลย เจ้าหนูคนนี้หน้าตาดูดี มือยาวขายาว เป็นเด็กหนุ่มที่สามารถทำงานเพาะปลูกได้ดี เอาเธอนี่แหละ! จัดงานมงคลสมรสคืนนี้เลย!”
อิ๋งจิ่งทนไม่ไหวกลอกตาใส่ ก่อนจะหัวเราะ “โอ้ คุณเข้าใจภาษาทิเบตด้วยเหรอเนี่ย”
ชูหนิงพยักหน้าระรัว “เรียนด้านนี้เองแบบที่ไม่มีอาจารย์สอนน่ะ ถ้าอย่างอื่นก็ไม่ได้แล้วล่ะ”
พอเลย พูดจาเหลวไหลไร้สาระด้วยท่าทีขึงขังจริงจังเชียว
ในสายตาของอิ๋งจิ่งเต็มไปด้วยความรักความเอาใจ เขาลูบเส้นผมของเธอเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดก็มีเสียงดังมาจากข้างหน้า ทั้งสองคนหันกลับไปพร้อมกัน ทันทีที่เห็น…
โห! มีหญิงสาวราวห้าหกคนกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม
อิ๋งจิ่งขมวดคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “มีธรรมเนียมแบบนี้จริงเหรอเนี่ย ครอบครัวเขามีพี่สาวน้องสาวห้าคนงั้นเหรอ คนไหนถูกใจฉันกันนะ”
ชูหนิงที่เมื่อครู่นี้ยังทำท่าทีตื่นตกใจคึกคักสุดๆ ตอนนี้กลับนิ่งเงียบสนิทเสียแล้ว
เธอจ้องมองหญิงสาวกลุ่มนั้น สีหน้าท่าทางบอกไม่ถูกว่าเป็นอารมณ์ไหน แต่น่าจะเป็นความกังวล เอานิ้วแกะเกาอยู่ในอุ้งมือของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ทว่าอิ๋งจิ่งกลับมีความสนใจขึ้นมา “ใช้ได้เลยนะ หน้าตาสวยจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ชูหนิงพลันคว้ามือของเขา หันหลังวิ่งออกไปทันทีโดยไม่มีคำพูดจาใดๆ
เธอเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนอิ๋งจิ่งโซเซแทบจะหกล้ม “เฮ้! เฮ้! ช้าๆ หน่อย!”
วิ่งเหมือนกับว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ด้านหลัง ชูหนิงกลั้นหายใจ พาเขาวิ่งออกห่างจากหมู่บ้านที่มีรั้วรอบแห่งนี้ ครั้นวิ่งมาหยุดอยู่ในสถานที่โล่งแจ้ง คราวนี้ชูหนิงถึงได้ปล่อยเขา เอามือสองข้างวางบนหัวเข่าพร้อมหอบหายใจเฮือกใหญ่
อิ๋งจิ่งขำแทบบ้า “ทำไมเนี่ย คุณวิ่งหนีอะไรของคุณน่ะ”
ชูหนิงขึงตาใส่เขา “นายยังจะกล้ามาพูดอีกนะ!”
อิ๋งจิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ปรักปรำกันแล้วนะคุณผู้หญิง! คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเขาถูกใจผมน่ะ จะพาผมกลับไปเป็นลูกเขยในหมู่บ้านไม่ใช่เหรอ”
“แหวะ ใครเขาถูกใจนายกันล่ะ”
พอที กลับลำพูดแย้งได้หน้าตาเฉย พูดแบบไม่มีเหตุผล เถียงข้างๆ คูๆ ได้หมด
อิ๋งจิ่งสัมผัสใบหน้าของเธอที่กำลังโมโห “คุณถูกใจผมไง”
ชูหนิงเบือนหน้าไป ไม่ได้พูดตอบ แต่หันหลังให้เขา อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
ห่างออกไปไม่ไกล ธงมงคลของทิเบตที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีโบกไสวพลิ้วไปกับสายลม ธงสีน้ำเงินอยู่ข้างบน ธงสีเหลืองอยู่ข้างล่าง สำหรับผู้ที่มีความเชื่อแล้ว ทุกคราวที่ธงพลิ้วปลิวไสวล้วนเป็นการสวดมนต์อธิษฐานขอพรสำเร็จหนึ่งหน
อิ๋งจิ่งจูงมือชูหนิง พาเธอเดินไปข้างๆ
ที่ตรงนี้อยู่ใกล้กับยอดเขา มีลมภูเขาลอดผ่านทั่วทุกสารทิศ ฟ้าและดิน จิตและวิญญาณ ความรักและความเกลียด คล้ายกับว่าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เพียงอยู่เบื้องหน้าคลื่นกระแสธารแห่งขุนเขาและธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล มนุษย์จึงจะสามารถรู้สึกได้ว่าเรื่องราวบนโลกล้วนมิได้ควรค่าให้ต้องกล่าวถึง แค่ปล่อยไปตามหัวใจ ตามความต้องการ มีอิสรเสรีก็ดีแล้ว
อิ๋งจิ่งพนมมือสิบนิ้ว หลับตาตั้งจิตศรัทธา ขอพรกับธงมงคลของทิเบต
ชูหนิงไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ ทว่าก็ไม่ได้รบกวนเขา เดินไปอีกด้านหนึ่งแล้วยืนเอียงตัวพิงกับหินก้อนใหญ่ ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจุดสูบ
ลมแรงมาก ควันบุหรี่ถูกลมพัดสลายไป
เธอใส่แว่นกันแดด ทอดมองภูเขาและแม่น้ำไกลๆ ด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
ไม่นานนักอิ๋งจิ่งก็เดินเข้ามาหา หยิบบุหรี่ในมือของเธอไปแล้วพูดอย่างไม่พอใจนัก “สูบบุหรี่ให้น้อยหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็ดับมันแล้วเอาก้นบุหรี่ใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง
ชูหนิงมองเขาอยู่และเอ่ยถามว่า “เมื่อกี้นายขอพรอะไรเหรอ”
น้อยนักที่อิ๋งจิ่งจะเงียบไม่พูดจา หลังผ่านไปสักพักก็พูดขึ้นว่า “คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”
ไม่ถามเสียก็คงดี เขาเริ่มพูดขึ้นต้นมาแบบนี้กลับเรียกความสนใจของชูหนิงเข้าจนได้
เธอถอดแว่นกันแดดออก ยิ้มหรี่ตามองแล้วสบตากับเขา
สายตาของอิ๋งจิ่งไร้ซึ่งอารมณ์สะทกสะท้าน มองเธอพร้อมกับพูดว่า “ไม่ได้ขอพรหรอก…ก็แค่ถามพระผู้เป็นเจ้านิดหน่อยว่าเมื่อไหร่ผมกับคุณจะได้ร่วม…”
รักกัน
หน้าตาชูหนิงสะดุ้งเล็กน้อย หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ค่อยๆ หันหน้ากลับไป ใส่แว่นกันแดดอีกครั้งด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ
…ช่างกดดันมาก
* ยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง เปรียบเปรยว่าเดิมทีคิดจะทำร้ายคนอื่น แต่ผลนั้นกลับย้อนมาทำร้ายตัวเอง หรือทำในสิ่งที่เป็นการทำร้ายตัวเอง
* หุบเขาสาวงาม หรือเหม่ยเหรินกู่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อในตันปา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.