“พ่อพาผมไปเล่นที่กองพันทหารม้าตั้งแต่เด็ก ผมขึ้นหลังม้าตามลำพังได้ตั้งแต่ตอนเจ็ดขวบแล้วล่ะ”
ครั้นพูดจบอิ๋งจิ่งก็ถีบขาข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็วาดขาขวาออกกระโดดข้ามไป ขึ้นไปอยู่บนม้าในชั่วพริบตา เขาเหยียดแขนออกมา ยื่นฝ่ามือให้ชูหนิง
“ขึ้นมาสิ”
ชูหนิงลังเล “ฉันไม่เคยเรียนเลย”
อิ๋งจิ่งจับมือของเธอเอาไว้แล้วเอ่ยบอก “มีผมอยู่นะ ผมปกป้องคุณเอง”
เขาพลันออกแรงดึงเต็มที่ ซึ่งชูหนิงก็อาศัยแรงขึ้นไปอยู่บนหลังม้าจนได้ เธออยู่ข้างหน้า ส่วนเขาอยู่ข้างหลัง หลังของเธอทาบติดกับแผงอกที่ร้อนรุ่มของเด็กหนุ่ม แนบชิดแทบจะไร้ซึ่งช่องว่าง เสียงหัวใจเต้นดังชัดเจน
อิ๋งจิ่งพลันหนีบขาสองข้างเป็นการควบม้าตะบึงไป ตอนแรกชูหนิงรู้สึกกังวลก่อน หลังจากปรับตัวได้ความตื่นเต้นก็เข้ามาแทนที่
ผืนฟ้าและแผ่นดินแสนกว้างใหญ่ เสียงสายลมพัดหวือดังหวีดหวิว
มีความหนักแน่นสุขสงบภายในจิตใจ คือความเงียบสงบอันไร้ขอบเขตอนันต์
ฟ้ามืดลงแล้ว มองเห็นตะวันตกดินจางๆ ขับแสงกับชั้นเมฆตรงภูเขาฟากนั้น
ภายในใจชูหนิงสั่นสะท้าน ด้วยสภาวะอารมณ์ที่เป็นสุข เธอเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “โคลงเคลงไปมาเหมือนกำลังนั่งเรือไหม”
ลมพัดโชยมา ส่งกลิ่นหอมรัญจวนทั้งปวงของหญิงสาวซึ่งอยู่ในอ้อมแขนเข้ามาสู่จมูก อิ๋งจิ่งใจสั่นสะท้าน มือกำลังสั่น หลังจากนั้นก็โอบกอดเอวของชูหนิงตามที่ได้คิดไว้
เขาพูดเสียงดังฟังชัด เป็นคำพูดไร้ที่ติและจริงจัง “ผมไม่รู้หรอกนะว่าเหมือนนั่งเรือหรือเปล่า ผมแค่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะให้ผมได้เป็นผู้ชายของคุณเสียที?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมแรงเกินไปจนทำให้เขาไม่ได้ยินคำตอบของเธอ หรือว่าชูหนิงไม่ได้พูดอะไรเลยกันแน่
อิ๋งจิ่งกำลังกอดเธออยู่ ในชั่วขณะนี้ก็รู้สึกว่าไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว
ทั้งสองคนขี่ม้าวิ่งออกไปไกลขึ้นทุกที เหมือนวิ่งออกนอกเส้นทาง ค่อยๆ มีพงหญ้าพุ่มไม้มากขึ้น ทิวทัศน์ยิ่งมีความละมุนละไมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะว่ามีผู้คนหร็อมแหร็มบางตา
ชูหนิงรู้สึกกลัวนิดหน่อย “ไม่ต้องไปแล้วมั้ง เดี๋ยวกลับไปไม่ถูก”
อิ๋งจิ่งพูดปลอบ “ไม่เป็นไร ม้าตัวนี้สามารถจดจำทางและแยกแยะเส้นทางได้”
ชูหนิงก็เลยวางใจ
อา ไม่รู้ว่าเราเริ่มที่จะเรียนรู้ในการยอมรับและเชื่อมั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้เข้าไปในป่าพุ่มไม้ เมื่อออกมาอีกครั้งก็เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าราบอันกว้างไกล
รอบบริเวณล้วนเป็นแนวเทือกเขาล้อมรอบ สภาพอากาศช่างน่าอาวรณ์ ดวงดาวและดวงจันทร์อยู่เคียงตะวันยอแสง
อิ๋งจิ่งกับชูหนิงลงจากม้า ยืนอยู่บนหน้าผา หันหน้าไปชื่นชมความงามของภูเขาและลำธาร ร่วมกันเพลิดเพลินกับภาพผืนฟ้าที่ปรากฏดวงตะวันจันทราและดวงดาวเคียงเคล้ากัน
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็จับมือสอดนิ้วประสานกัน ชูหนิงกระตุกเขา ตั้งใจจะเดินไปข้างหลังต้นไม้
อิ๋งจิ่งรับรู้และเข้าใจความหมาย หันหลังเดินตามไป ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบตลอดทาง
ต้นไม้สีเขียวครึ้มนับร้อยปี กิ่งก้านใบหนาแน่นเขียวชอุ่ม ยืนตระหง่านปกคลุม บดบังแสงอาทิตย์ตกดิน
ทั้งสองคนหลบซ่อนอยู่ในหมู่แมกไม้นั้น มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ชูหนิงมองเขา วินาทีต่อมาก็ถูกจูบประทับพร่างพรมลงมาอย่างรุนแรง
ทั้งคู่กอดกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการยับยั้งข่มใจเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป และก็ไม่ได้คิดเพียงที่จะลิ้มลองแค่ผิวเผิน หัวใจเต้นแรงเหมือนมีไฟฟ้าเชื่อมต่อ รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
จนกระทั่งหายใจไม่ทัน อิ๋งจิ่งก็ผละตัวออกมา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองออกแล้วปูลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เขานั่งยองๆ ชูหนิงก็คุกเข่าลงบนพื้น โผตัวเข้าไปหาเหมือนสัตว์ป่าตัวน้อยที่หิวกระหาย
ตั้งแต่ตอนที่เธอตัดสินใจมาหาเขาที่เสฉวนและทิเบตอย่างไม่มีลังเลนั้น ก็ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะหวนกลับไปได้อีก
ดาวชะตาหักล้างที่ถูกโชคชะตาลิขิตมาแล้ว ส่งมาเพื่อให้มอบความจริงใจสินะ
อิ๋งจิ่งกดเธอไว้ด้านล่างตัว ดวงตาเหมือนกำลังร่ำร้องปานขาดใจ
ความรักและความใคร่ไม่เคยแยกจากกันได้เลย
ในที่สุดชูหนิงก็เผยความจริงใจต่อหน้าเขา เป็นความซื่อตรงจริงใจอย่างสุดซึ้ง
การรุกเร้าของเธอที่ทั้งเร่าร้อนและไม่ได้ช่ำชอง ทั้งการตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งความกลัว ทำเอาอิ๋งจิ่งหลงใหลจนไม่อาจถอนตัว
ตรงขอบฟ้า นกสยายปีกบินเป็นแถว เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงร้องขับขาน
ชูหนิงกางแขนแล้วกอดเอวของเขาไว้ เอาหน้าหนุนอยู่บนอกอย่างแผ่วเบา อิ๋งจิ่งก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ส่งเสียงทุ้มออกมาเบาๆ
เบ้าตาของเขาแดงเรื่อ เขาจูบที่คิ้วและดวงตาของชูหนิง ก่อนจะพูดให้คำมั่นสัญญา “หนิงเอ๋อร์ ผมจะดีกับคุณนะ”
ทั้งสองต่างมองตากัน ชูหนิงไม่พูดจา แขนที่ผุดผ่องโอบรอบลำคอของเขา ใช้การจูบตอบกลับไป
ในที่สุดเมื่อประตูบานนั้นเปิดออก ชูหนิงแค่นเสียง กัดไหล่ของเขา น้ำตาคลอหน่วย “เจ็บ”
อิ๋งจิ่งหยุดชะงักไปจริงๆ มีหยาดเหงื่อบางๆ อยู่เต็มหน้าผาก เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “แต่ผมทนไม่ไหวแล้ว”
งั้นก็ไม่ต้องทนแล้ว! ชูหนิงหลับตาลง เพลิดเพลินกับของขวัญตอบแทนที่ได้มาจากความรัก รับรู้ถึงเสียงหัวใจเต้นของผู้เป็นที่รัก
ทุกสิ่งเงียบสงัด ภูเขานิ่งงัน สายลมหยุดพัด
คนสองคนรักกันตลอดไป ในห้วงยามฤดูใบไม้ร่วงทั้งคู่ต่างเข้าอกเข้าใจกัน
* ชุดต้าจิน เป็นเสื้อผ้าพื้นเมืองแบบดั้งเดิมของชนเผ่าฮั่นและชนกลุ่มน้อยบางส่วน มีกระดุมด้านหน้าซึ่งมักติดจากทางซ้ายไปทางขวา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.