“คุณคิดว่าลูกชายคุณเป็นคนดีจริงๆ เหรอ?!”
เฝิงจื่อหยางตะโกนด้วยความโมโห “หุบปาก!”
ชูหนิงเองก็ใบหน้าขาวซีด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยื้อดึงมือของฉินเหมี่ยวไปอีกทาง “เฮ้!”
คุณแม่เฝิงกับเฉินเยวี่ยมองตากัน เกิดความสงสัยขึ้นทั้งคู่ เมื่อมองมาที่สามคนนี้อีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเสียแล้ว
ฉินเหมี่ยวผลักชูหนิงออกไป ไม่สนใจแยแสอะไรอีกแล้ว “พวกเขาโกหก! กำลังโกหกพวกคุณอยู่! หลอกว่าคบกัน แสร้งทำตัวเป็นคู่รัก แสร้งพูดว่าจะหมั้นกัน! ปิดบังความจริงหลอกลวงคนอื่น คนหนึ่งหวังเงิน อีกคนหวังความมั่นคง! เป็นพวกชั่วกันทั้งหมดแหละ!”
กลิ่นอายความขัดแย้งในบรรยากาศถูกจุดปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
ชูหนิงพลันหลับตาลง คิดในใจ เรื่องทั้งหมดนี้มันอะไรกันเนี่ย
เมื่อมองผู้ใหญ่สองคนนั้นอีกครั้ง คุณแม่เฝิงดูจะจำฉินเหมี่ยวได้แล้ว รู้สึกเนืองๆ ว่าเคยเห็นที่ไหน ที่แท้ก็หญิงสาวคนที่เฝิงจื่อหยางเคยพามาที่บ้านเมื่อสองปีก่อน เพียงแต่ว่าตอนนั้นคุณแม่เฝิงยืนกรานไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปในบ้าน เพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ
ผู้หญิงวัยรุ่นที่แสนอ่อนแอบอบบางตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เหอะ ช่างแตกต่างห่างกันลิบลับกับพละกำลังอันยิ่งใหญ่ที่เจอในค่ำคืนนี้
คุณแม่เฝิงมีทั้งลักษณะความเข้มงวดของความเป็นนักวิชาการสไตล์โบราณหัวเก่า แล้วก็มีความดุโหดของความเป็นนายหญิงแห่งครอบครัวตระกูลใหญ่ ทั้งให้ความสำคัญกับหน้าตาภาพลักษณ์เป็นที่สุด ความจริงเช่นนี้ทำให้เธอไม่อาจยอมรับได้เลย และความรักความลำเอียงที่ตอนแรกเธอมีให้ชูหนิง ตลอดจนความรู้สึกติดค้างในตอนที่หญิงสาวเลิกกันกับลูกชายเธอได้สลายหายไปจนหมดสิ้น
เธอเหลือบมองชูหนิงอย่างนิ่งสงบ
แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ยังหวังว่าจะมีโอกาส บางทีอาจจะเป็นความเข้าใจผิดก็ได้นะ?
บรรยากาศกำลังแน่นิ่ง ไม่มีใครทันสังเกตเห็นฉินเหมี่ยวที่โมโหถึงขีดสุด จู่ๆ เธอก็เอื้อมมือไปทางชูหนิง
ชูหนิงโดนผลักอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ทั้งหมดเป็นเพราะแก! ที่เฝิงจื่อหยางเปลี่ยนใจไปเป็นเพราะแกคนเดียวเลย!” ฉินเหมี่ยวผมเผ้าหลุดลุ่ยกระเซอะกระเซิง หน้าตาดุร้ายเหี้ยมโหด ขาดสติจนหมดสิ้น
ชูหนิงล้มคะมำลงไปอย่างแรงจนมึนไปหมด หมดสภาพไปนาน
ซึ่งในขณะนี้เองก็มีคนโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าวิ่งโผล่พรวดมาจากทางไหน
“หนิงเอ๋อร์ ลุกขึ้น”
กล่าวโดยสัตย์จริง เฝิงจื่อหยางได้แต่รู้สึกเสียใจและเป็นกังวล ปลายนิ้วยังไม่ทันจะแตะโดนตัวเธอก็ถูกคนคนนี้ชนกระเด็นออกมา
อิ๋งจิ่งขวางเฝิงจื่อหยางไว้อย่างแน่นหนา เปี่ยมไปด้วยความเป็นศัตรู แล้วก็ปกป้องชูหนิงไว้ในอ้อมแขนของตัวเองเหมือนเป็นการประกาศอำนาจครอบครอง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม!”
เมื่อเห็นอิ๋งจิ่งอย่างชัดเจนแล้ว ชูหนิงก็ตกใจแทบกระอักเลือด “นะ…นายมาได้ยังไง?!”
“ไม่วางใจไง ก็เลยเรียกรถตามมา” และยังลอบสังเกตดูจากตรงที่ไกลๆ อยู่นานมากแล้ว ข่มใจอยู่นานมาก ไม่ว่าจะเสียงดังโหวกเหวกมากขนาดไหนก็ยังสามารถรักษาสติไว้ได้ เตือนตัวเองว่าอย่าไปสร้างปัญหาให้เธอ แต่เมื่อครู่เห็นชูหนิงถูกคนผลัก ใครมันจะยังทนได้ไหวกันเล่า!
คราวนี้แหละงามหน้าแล้ว คู่กรณีสี่คนออกโรงพร้อมหน้ากันครบทีม ในสายตาของคุณแม่เฝิงกับเฉินเยวี่ยแล้ว แต่ละคนดูหน้าตาเหมือนเป็นคู่ชู้สาวกัน
ไม่มีใครโง่ คุณแม่เฝิงเห็นอิ๋งจิ่ง ความหวังในโอกาสที่มีริบหรี่เมื่อครู่นี้ล้วนแตกสลายเป็นชิ้นๆ
เธอพูดอย่างเย็นชา “อ้อ? เธอบอกว่าจื่อหยางกับชูหนิงแสร้งคบกันปลอมๆ เหรอ”
ฉินเหมี่ยวจนมุมไร้ซึ่งทางหนีทีไล่ ตัดสินใจพยักหน้าพูด “ใช่!”
คุณแม่เฝิงไม่สะทกสะท้านใดๆ สีหน้านิ่งเฉย “แล้วเขาล่ะ” เธอชี้ที่อิ๋งจิ่ง
ชูหนิงพลันตกใจทันที รู้สึกว่าสายตาของเฉินเยวี่ยกำลังจ้องจิกมาที่เธออย่างคมกริบ
เฝิงจื่อหยางกำลังจะไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“พวกเขาตัวปลอมหรือเปล่าผมไม่รู้หรอก แต่ผมนี่แหละตัวจริง” อิ๋งจิ่งพูดอย่างเปิดใจ ปล่อยให้คนมองสบตา ไม่มีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ฉันต่างหากที่เป็นแฟนตัวจริงเสียงจริงของเธอ
ชูหนิงไม่อาจอธิบายความรู้สึกในชั่วขณะนี้ได้เลย ทั้งรู้สึกช็อก ทั้งตื้นตัน ทั้งดีใจ และเศร้าโศก
แต่คุณแม่เฝิงและเฉินเยวี่ยต่างกำลังปั้นหน้าขึงขังจริงจัง
บรรยากาศย่ำแย่ถึงขีดสุด
ละครตลกร้ายในค่ำคืนนี้เหมือนระเบิดลงครั้งใหญ่ที่สะสมมานาน
เริ่มต้นด้วยความโกลาหลวุ่นวาย จบลงด้วยความยุ่งเหยิงอลหม่าน
สุดท้ายก็ยังเป็นอิ๋งจิ่งที่ไปหาพนักงานโรงแรมบอกให้เรียกรถมาเพื่อให้พาฉินเหมี่ยวกลับไปส่ง เฝิงจื่อหยางเหนื่อยเพลียเต็มที ส่วนชูหนิงหกล้มเจ็บแขนแทบแย่ อิ๋งจิ่งกลายเป็นที่พึ่งของทั้งสองคน ให้เฝิงจื่อหยางนั่งที่เบาะหลัง และให้ชูหนิงนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
“คุณห้ามหันกลับไปมองเขา” เขาขับรถ พูดจาบงการ “มองได้แต่ผม”
หลังขับมาได้สักพักหนึ่ง ชูหนิงก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “นายไปส่งฉันกลับบ้านนะ”
…บ้านตระกูลจ้าว
อิ๋งจิ่ง “โอเค ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”
เฝิงจื่อหยาง “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเถอะ”
ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน