Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ
ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 69
‘ป้าบ!’ อิ๋งจิ่งตบพวงมาลัยรถ เอ่ยด้วยความวู่วามมาก “ถ้านายยังขืนพูดอีกคำ ฉันจะโยนนายลงจากรถ!”
เฝิงจื่อหยางเองก็ไม่พอใจ “บ้าเอ๊ย นี่มันรถฉันนะ!”
“โอเคๆ พวกนายสองคนอย่าทะเลาะกัน” ชูหนิงพูดอย่างปวดหัว “ไม่ต้องไปสักคน ฉันกลับเองคนเดียว”
ชายหนุ่มสองคนพูดค้านพร้อมกัน “ไม่ได้!”
ชูหนิงหัวเราะเยาะ สีหน้าท่าทางเหนื่อยล้า “เฝิงจื่อหยาง นายพูดเองไม่ใช่เหรอ ถ้าไปบ้านฉันตอนนี้คืออยากให้ฉันตายเร็วขึ้นใช่ไหม”
“ฉัน…” เฝิงจื่อหยางอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
“นายก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” ชูหนิงถอนใจแผ่วๆ เมื่อเผชิญหน้ากับอิ๋งจิ่ง น้ำเสียงก็อ่อนลงและพูดอย่างน้อยใจมาก “แม่ฉันเป็นคนที่หัวดื้อสุดๆ ให้เธอทำความเข้าใจสักหน่อย ไว้ฉันพูดกับเธออย่างชัดเจนแล้ว ฉันจะพานายไป”
อิ๋งจิ่งตั้งใจคิดทบทวนอยู่นานมาก ในครั้งนี้เขาไม่ได้โกรธ แต่ว่ารู้จักให้อภัยและเข้าอกเข้าใจ เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย พูดเสียงอู้อี้
“ตั้งแต่เด็กจนโต ผมเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่มากนะ คุณต้องเชื่อผมสิ”
เฝิงจื่อหยางหัวเราะเยาะเย้ย “ยินดีกับนายด้วยนะ ชนตะปู* แล้วไง”
“ฉันชนตะปูก็ไม่เป็นไรนี่นา คืนนี้นายเจอทุเรียน** เข้าไป ช่างทิ่มแทงหัวใจ”
“บ้าเอ๊ย ไอ้เด็กเวร!”
“หึ ไอ้ขี้แพ้!”
เอาล่ะ เป็นศัตรูคู่อริที่ไม่ยอมกันเลยสินะ
ชูหนิงหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง เงาปรากฏวูบวาบแวบผ่านใบหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ เมื่อกลับถึงบ้านตระกูลจ้าว เฉินเยวี่ยก็คลุ้มคลั่งระบายอารมณ์ใส่เธอ
“ชูหนิง! แกชักจะเหิมเกริมกล้ามากเกินไปแล้วนะ?!”
ชูหนิงใช้ไม้อ่อนสยบไม้แข็ง ใช้ใบหน้ายิ้มแย้มเข้าสู้ เปลี่ยนรองเท้าอย่างช้าๆ “แม่อย่าเพิ่งโมโหก่อนสิ ฟังที่หนูจะอธิบายกับแม่ก่อน”
“จะอธิบายอะไรอีก!” เฉินเยวี่ยโกรธแล้วจริงๆ สีหน้าขาวซีด ริมฝีปากก็สั่นเล็กน้อย “แกแสร้งคบกัน แสร้งปลอมตัวเป็นคู่หมั้นกัน แกไม่รู้สึกเกรงกลัวสักหน่อยเลยเหรอ”
ชูหนิงฝืนใจทนต่อไป ยังคงยิ้ม “หนูจะกลัวทำไมล่ะ ทำให้แม่เสียหน้าเหรอ หรือว่าขโมยเงินจากในบ้านไปเหรอ”
“แกยังกล้าพูด!”
“มีอะไรที่หนูจะไม่กล้าพูด” ชูหนิงไม่ใช่คนอ่อนหัด หากใช้เหตุผลก็จะไม่เสียเปรียบ “ใช่ เรื่องนี้หนูผิดจริงๆ แต่ว่าหนูไม่ได้ลักขโมยชิงทรัพย์ใคร ตกลงเป็นเอกฉันท์ร่วมกัน แล้วก็จบลงอย่างสันติ ไม่ได้ทำเรื่องอำมหิตชั่วช้าสาหัสผิดมนุษย์มนา หนูไม่ได้รู้สึกว่าต้องละอายใจ”
ในมุมของชูหนิงแล้ว กล่าวอย่างสัตย์จริง ระหว่างเธอกับเฝิงจื่อหยางก็เหมือนเป็นการร่วมมือกันทำธุรกิจ
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องคืนนี้ เรื่องนี้ก็จะจบลงอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ
เธอเดาเฉินเยวี่ยออก ประเด็นหลักของความคิดแม่เธอไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้เลย
แล้วก็จริงอย่างที่คาด
“แล้วคนที่ชื่ออิ๋งจิ่งนั่นเรื่องราวมันเป็นยังไงอีก” เฉินเยวี่ยถามขึ้นมา
“แฟนหนูเอง” ชูหนิงตอบอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ใจ
“แฟนอะไรกัน ยังเด็กตัวกะเปี๊ยก โผล่หัวผุดมาจากไหนก็ไม่รู้ ฉันไม่เห็นด้วย!”
“แม่มาเห็นด้วยไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว เขาไม่ได้คบเป็นแฟนกับแม่ไง” ชูหนิงเองก็พูดจาร้ายกาจ ทำเอาคนจนปัญญาทำอะไรเธอไม่ได้
เฉินเยวี่ยไปนั่งหลังตรงบนโซฟา หน้าตาเหมือนเปาบุ้นจิ้นสอบเค้นความ
“เขาอยู่ที่ไหน”
“ซิ่งเฉิง”
“ไกลขนาดนั้น ไม่ไหว”
“ไกลอะไร รถไฟความเร็วสูงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
“พ่อแม่ทำอะไร”
“นายทหารเก่าที่ปลดประจำการแล้ว”
เฉินเยวี่ยตอบสนองอย่างรุนแรง “แบบนั้นไม่ไหวเลย!”
“แม่จะพูดไม่ไหวเยอะแยะมากมายทำไม เป็นทหารปลดประจำการแล้วมีปัญหายังไงกับแม่เหรอ”
“เจ้าคนที่ชื่ออิ๋งจิ่งนี่ทำการทำงานอะไร”
ชูหนิงมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไม่มีงาน”
“เป็นคนว่างงาน?!”
“นักศึกษามหาวิทยาลัย”
เฉินเยวี่ยลุกขึ้นตบโต๊ะ “ฉันไม่เห็นด้วย!”
ชูหนิงหมดอารมณ์จะสู้ต่อ ลุกขึ้นพูดทิ้งท้ายยืนกรานว่า “ถ้าแม่เห็นด้วยแล้ว วันหลังหนูจะพาเขามาพูดคุยเป็นเพื่อนแม่ เขาเป็นนักศึกษาดีเด่น มีความรู้มากมาย บุคลิกดีมีการศึกษา เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ถ้าแม่ไม่เห็นด้วย…” ชูหนิงพูดอย่างเด็ดขาด “หนูก็จะจัดการแบบไม่เห็นด้วย”
คำพูดเพียงประโยคเดียวเอ่ยออกมาตรงๆ แต่ความหมายในเชิงข่มขู่ที่อยู่ในคำพูดปรากฏเด่นชัด
ในช่วงบั้นปลายชีวิตครึ่งหลังของเฉินเยวี่ยนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็คืออยู่เพื่อมีหน้ามีตา
เธอต้องการเกียรติ ต้องการยกสถานะตัวเองให้สูงขึ้น ต้องการมีข้อได้เปรียบที่มีคุณค่าสามารถโอ้อวดได้ ตัวเองดิ้นรนไม่มีผลสำเร็จอะไรเบ่งบาน ก็ตั้งความคาดหวังทั้งหมดไว้กับชูหนิง แต่ลูกสาวคนนี้ดันมีความคิดของตัวเอง ไม่ยอมถูกคนอื่นบังคับ
เป็นม้าป่าพยศที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งจริงๆ!
เฉินเยวี่ยโมโหมาก “ชูหนิง แกไม่ได้เป็นไรใช่ไหม หาอะไรดีๆ ไม่หา ยังจะไปหาคนที่เด็กกว่าตัวเอง? เขาเป็นนักศึกษายากจนคนหนึ่ง จะซื้อบ้านได้ยังไง จะเลี้ยงครอบครัวได้ยังไง”
“บ้านหนูเป็นคนซื้อ ครอบครัวหนูเป็นคนเลี้ยง หนูเต็มใจ” ชูหนิงพูดอย่างผ่อนคลายสบายๆ
เป้าหมายของเธอชัดเจน คือการบอกเรื่องของอิ๋งจิ่งต่อหน้าแม่ ถึงยังไงจะช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี
ชูหนิงบิดขี้เกียจอย่างพอใจมาก “หนูจะขึ้นไปเอาเสื้อผ้าบางส่วน”
คราวก่อนที่กลับมาบ้านเธอทิ้งเสื้อผ้าไม่กี่ตัวเอาไว้ในห้องนอน
ชูหนิงขึ้นไปชั้นบนพลางฮัมเพลง คำว่า ‘กล้าหาญ’ ตัวโตๆ ปรากฏอยู่บนแผ่นหลัง
ห้องนอนของเธอที่บ้านตระกูลจ้าวใหญ่มาก แถมข้าวของในตู้เสื้อผ้าก็เต็มแน่น
หาเสื้อผ้าได้ประมาณสิบนาทีก็ถือกระเป๋าเดินทางเตรียมจะกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ผลกลายเป็นว่า…
“เอ๊ะ? ทำไมประตูเปิดไม่ออก”
ชูหนิงหมุนลูกบิดประตู ดึงไปมาตั้งหลายครั้งแล้ว ทันใดนั้นก็พลันคิดขึ้นได้ แล้วก็เกิดความหนักใจทันที
เสียงตะโกนด้วยความโมโหดังลั่นทั่วบ้านตระกูลจ้าว “แม่! ล็อกประตูทำไม!!”
เฉินเยวี่ยที่หมดหนทางไป จึงใช้กำลังป่าเถื่อนกักบริเวณชูหนิงให้อยู่ในบ้านเสียเลย
ชูหนิงทั้งเตะประตู ตะโกนร้อง ทุบผนัง ทำหมดแล้วก็ไม่ได้ผล เฉินเยวี่ยนั่งดื่มชาดอกไม้อยู่บนโซฟาด้วยสภาพจิตใจที่สงบนิ่ง
แหกปากเสียงดังไปสิ ตามใจชอบเลย
ถึงยังไงจ้าวเผยหลินที่เป็นสามีก็เดินทางไปทำงานนอกสถานที่ที่ประเทศเยอรมัน ไม่มีทางกลับมาในช่วงสิบวันหรือครึ่งเดือน เฉินเยวี่ยตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ยอมให้ลูกสาวไปหาแฟนที่เป็นลูกของครอบครัวทหารเก่าปลดประจำการแล้วอะไรนั่นเด็ดขาด ขังไว้ก่อนสักหนึ่งคืน ให้ใจเย็นลงหน่อยแล้วค่อยคุยกัน
ผลคือไม่นึกเลยว่าเมื่อชูหนิงเดือดขึ้นมาแล้วจะกล้าทำทุกอย่าง
ห้องนอนอยู่ที่ชั้นสอง เธอเปิดหน้าต่างมองลงไป ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด
แล้วในตอนนี้เอง ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลจ้าวก็ค่อยๆ เปิดออก แสงไฟสูงของรถยนต์ส่องตรงเข้ามา แสงเข้าตาจนเธอต้องหรี่ตามอง
รถอาวดี้สีดำคันหนึ่งขับอยู่ข้างหน้า ข้างหลังยังมีรถแลนด์โรเวอร์สีดำอีกคันขับตามมาด้วย เลขท้ายของป้ายทะเบียนรถเป็นเลขตองแปดที่ช่างดูจองหองและทรงอิทธิพล
จ้าวหมิงชวนลงมาจากรถ มองแวบเดียวก็เห็นชูหนิงที่เอาขาข้างหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนขอบหน้าต่าง ทำท่าจะกระโดดลงมา
นานๆ ทีที่จ้าวหมิงชวนจะไม่มีงานเลี้ยงในแวดวงสังคมธุรกิจ เขาเพิ่งกลับมาจากงานปาร์ตี้เล่นไพ่กับกลุ่มเพื่อน ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมกันลมแบบลำลองสีเนื้ออ่อนที่มีความยาวปานกลาง เป็นสไตล์ที่ดูอ่อนโยนและสุภาพ แต่เมื่อสวมใส่อยู่บนตัวของเขา บุคลิกที่ดุร้ายไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
เขาแหงนศีรษะขึ้นมามองด้วยนัยน์ตาที่ล้ำลึก มองชูหนิงซึ่งอยู่ที่ชั้นสองอย่างพูดไม่ออก
ชูหนิงเหมือนเจอผู้ช่วยชีวิต ส่งเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว “จ้าวหมิงชวน!”
ขณะเดียวกันขาขวาที่ส่ายอยู่ด้านในขอบหน้าต่างก็ก้าวข้ามตามมา
จ้าวหมิงชวนใบหน้าปราศจากอารมณ์ และไร้ซึ่งอาการสะทกสะท้าน
ชูหนิงมองเขาลงมาจากที่สูง กระอึกกระอักแล้วตะโกนพูดว่า “รับฉันไว้!”
จากนั้นเธอก็พลันกระโดดลงมาทันที
จ้าวหมิงชวนตาไวขยับอย่างปราดเปรียว อ้าแขนสองข้างออกมาพลางสาวเท้าก้าวใหญ่ขยับไปทางขวาสองที และก็เล็งรับเธอไว้อย่างแม่นยำ
ชูหนิงลงมาอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างปลอดภัย ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
แต่แรงกระแทกหนักมากเกินไป ชนจ้าวหมิงชวนจนเกือบจะล้มลงบนพื้น
เดิมทีจ้าวหมิงชวนก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีอยู่แล้ว เขาหิ้วตัวโยนเธอไปไว้ข้างๆ กระทั่งโมโหก็ยังมีความอึมครึมในน้ำเสียง
“ดึกดื่นเที่ยงคืนมาดักกรรโชกทรัพย์รึไง หือ?”
* ชนตะปู เปรียบเปรยว่าถูกปฏิเสธ หรือถูกอีกฝ่ายตอกกลับมา
** ทุเรียน เป็นคำพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่าอาลัยอาวรณ์
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)