Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ
ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ บทที่ 2
คาบเรียนตอนบ่ายสามโมงครึ่ง พวกอิ๋งจิ่งเพิ่งจะออกจากหอพักก่อนถึงเวลาคาบเรียนสิบนาที มันเป็นเรื่องเสียเปรียบถ้าหากมาถึงห้องปฏิบัติการก่อนล่วงหน้าสักหนึ่งนาที ครั้นอิ๋งจิ่งกับฉีอวี้เดินเข้าไปก็เห็นผู้หญิงไม่กี่คนในชั้นเรียนตั้งกลุ่มล้อมวงกันอยู่
จางไหวอวี้รีบโบกมือเรียกพวกเขา “อิ๋งจิ่ง นายมาดูนี่ให้หน่อยสิ!”
โจวหยวนหัวหน้าห้องตัวอ้วนไม่พอใจ “เรามีกันตั้งมากมายหลายคนขนาดนี้ ทำไมเรียกแค่อิ๋งจิ่งล่ะ”
“ถ้านายเก่งจริงก็สอบให้ได้ที่หนึ่งสิยะ ฉันจะขอคำปรึกษานายทุกวันเลย”
กลิ่นความบาดหมางลอยโชยคุกรุ่น อิ๋งจิ่งพูดปลอบเพื่อนผู้ชายก่อนว่า “สุภาพบุรุษที่ดีไม่สู้รบกับสตรี”
“เหอะ”
หลังจากนั้นก็เดินไปหาเพื่อนผู้หญิงแล้วพูดกระซิบว่า “กุลสตรีที่ดีไม่สู้รบกับบุรุษ”
“อื้มๆ”
ดูเหมือนว่าคนที่หน้าตาดีพูดจาอะไรก็ค่อนข้างทำให้คนยอมเชื่อได้หมดแหละนะ
“ทำไมอันนี้ไม่สว่างเหรอ”
“ฉันดูหน่อย” โต๊ะตัวนี้เตี้ยเล็กน้อย อิ๋งจิ่งจึงก้มตัวลง ชี้วงจรตรงส่วนครึ่งท้ายแล้วพูดว่า “ตรงนี้เชื่อมต่อสายกลับด้าน” เขาถอดหลอดไฟเซ็นเซอร์สามดวงบนสายไฟออกมา แล้วปรับเปลี่ยนตำแหน่งนิดหน่อย “โอเค เปิดสวิตช์ได้”
พอเชื่อมต่อกับกระแสไฟฟ้าแล้วบรรดาผู้หญิงก็อุทานด้วยความตกใจ “ว้าว!!”
เมื่อครู่แผงวงจรพิมพ์* ยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลย ตอนนี้ไม่ใช่แค่สว่างโร่เท่านั้น หลอดไฟเล็กๆ ไม่กี่ดวงนั้นยังถูกประกอบเป็นรูปหัวใจเสียด้วย
สว่างจ้า
“จะให้พวกเธอขึ้นไปเปิดแสงไฟบนภูเขาเอ๋อเหมย** เลยเอาไหม!” จู่ๆ ก็มีเสียงติติงเข้มงวดดังขึ้นมา
บรรยากาศเงียบสงบในบัดดล ทุกคนเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ หัวหดเดินกลับไปนั่งที่อย่างรวดเร็ว มีทั้งคนที่พลิกเปิดตำรงตำรา หยิบปากกงปากกาว่ากันไปตามประสา ส่วนอิ๋งจิ่งแลบลิ้นแล้วหันหลังกลับไปเรียกชื่อด้วยท่าทีเรียบร้อยตามระเบียบ
“ศาสตราจารย์ลี่”
ลี่โจวซานในวัยห้าสิบกว่าๆ แวบแรกที่เห็นเขามีรูปร่างกลมนิดหน่อย อ้วนท้วนเล็กน้อยแบบนี้ รูปร่างหน้าตาช่างไม่เหมือนกับนักวิชาการในความหมายแบบดั้งเดิมเลย แล้วก็หน้าตาดุร้ายแบบนี้อีก เขาเลยเป็นที่ขึ้นชื่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“เละเทะสะเปะสะปะ วุ่นวายไปหมด นี่เป็นวัสดุสำหรับการทดลอง ไม่อนุญาตให้นำมาใช้ทำเรื่องอื่น!” ลี่โจวซานชี้ไปที่หัวใจดวงใหญ่เป้งแล้วถามอิ๋งจิ่งว่า “นายเตรียมที่จะเอามันไปใช้ร่วมการแข่งขันหรือเปล่า ฮะ?”
อิ๋งจิ่งยิ้มแหยๆ หัวเราะแหะๆ สองที “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”
หนวดกระจ้อยร่อยของลี่โจวซานแทบจะกระพือด้วยความโมโห เขาพ่นคำเทศนาที่คล้ายกับว่า ‘ใส่ถุงเท้าก่อนแล้วค่อยสวมรองเท้า เป็นหลานก่อนแล้วค่อยเป็นปู่’* ต่อเนื่องไปอีกหลายนาที ทุกประโยคที่ลี่โจวซานพูด อิ๋งจิ่งก็แอบท่องคำพูดต่อไปของเขาออกมาเงียบๆ อย่างรวดเร็ว
อัตราความแม่นยำแบบไม่ใช่ก็ใกล้เคียงที่เกือบจะตรงเป๊ะเช่นนี้ ทำเอาอิ๋งจิ่งอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา
“นายทำฉันเสียเวลาตลอดเลย เริ่มเรียนได้แล้ว” ลี่โจวซานเหมือนตาเฒ่าน้อยที่ขี้หงุดหงิดอารมณ์เสีย เอามือสองข้างไพล่หลังแล้วเดินจากไป
อิ๋งจิ่งเผ่นมานั่งข้างๆ ฉีอวี้ กางหนังสือออก แต่ความจริงแล้วเขาวางมือถือไว้ด้านล่างแอบเล่นเกมเที่ยวอีเที่ยว** ในกลุ่มเพื่อนสนิทมีคนแซงอันดับเขาไปแล้ว ไม่ได้ ต้องช่วงชิงที่หนึ่งกลับมาให้ได้
ฉีอวี้ถาม “นายเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในสัปดาห์หน้าแล้วหรือยัง”
“ยัง การแข่งขันนั่นต้องเตรียมตัวอะไร ก็แค่การเปลี่ยนม่านสลับหน้าฉากของมหาวิทยาลัยปีละครั้ง คงถูกพวกเรียนสาขาเอกการออกแบบอากาศยานคว้าตำแหน่งไปทุกรอบแหละ สาขาของเราก็แค่พระรองที่ช่วยส่งเสริมความนิยม จริงสิ ตอนค่ำเล่นบาสกันเถอะ”
“ไปเล่นด้วยไม่ได้หรอก”
“ทำไม ไปไหน” อิ๋งจิ่งเอ่ยถามเสียงเบา “ไปรับเธอเหรอ”
ฉีอวี้พยักหน้า “อือ วันนี้เธอเลิกงานดึกน่ะ”
อิ๋งจิ่งขานรับ “นายคิดจะขี่จักรยานเสี่ยวหวงเชอ*** อีกเหรอ”
“อือ เธอเลิกงานดึกมาก ไม่มีรถไฟใต้ดินแล้ว”
เพียงประโยคเดียวเบาๆ เกมเที่ยวอีเที่ยวที่กำลังกระโดดอยู่ก็ตายพอดี
อิ๋งจิ่งรู้สึกไม่แช่มชื่นนัก เขาปิดโทรศัพท์มือถือแล้วพูดว่า “ถึงยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องตรวจห้องนอน งั้นฉันไปกับนายด้วยก็แล้วกัน โอเค เอาตามนี้แหละนะ”
“…”
ฉีอวี้เด็กหนุ่มคนซื่อ กว่าจะสามารถออกเดินทางจากหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ มาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขามีแฟนสาวคนหนึ่งที่เติบโตและเที่ยวเล่นสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กชื่อว่ากู้จินจิน เธอดร็อปเรียนไปก่อนนานแล้ว และเมื่อปีที่แล้วก็มาที่ปักกิ่ง อิ๋งจิ่งไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ แต่ได้ยินฉีอวี้คุยโทรศัพท์กับเธอบ้างเป็นครั้งคราว พูดจาเสียงเบาๆ ท่าทางเขาจะคล้อยตามอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
ขี่จักรยานสาธารณะไปรับแฟนสาวที่เข้างานกะดึก แล้วยังพาเธอกลับไปส่งที่ห้องเช่าอีก นั่นก็เพื่อที่จะประหยัดเงินค่ารถ
อิ๋งจิ่งแอบคิดแบบซื่อบื้อว่า เป็นแฟนกันมีอะไรดีงั้นเหรอ ลำบากจะตาย
ตอนค่ำพวกเขานั่งรถไฟใต้ดินสายสิบสามไปสถานีซีจื๋อเหมินเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง แล้วเดินถนนไปอีกหน่อยจนถึงถนนสายร้านเหล้า
ไฟนีออนหลากสีสันดูสวยงาม ทำให้ท้องฟ้าอาบย้อมด้วยแสงสว่างที่ขมุกขมัว เหมือนมีผ้าทอผืนหนึ่งปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ กลางคืนมีน้ำค้างแข็ง อิ๋งจิ่งสวมเสื้อฮู้ดที่ใส่ตั้งแต่ตอนกลางวันตัวนั้นอยู่ก็ยังหนาวจนเกือบจะแข็ง เขาเอามือใส่เข้าไปในกระเป๋า แทบอยากจะล้วงลงไปให้กระเป๋าทะลุ
ฉีอวี้ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ทำไมนายไม่ใส่กางเกงลองจอนล่ะ”
อิ๋งจิ่งพูดแบบงงๆ “ทำไมนายพูดจาอย่างกับแม่ของฉันเลยเนี่ย ฉันผ่านหน้าหนาวได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ตอนบ่ายฉันยังกินไอติมตั้งสองแท่งนะ ฉันไม่กลัวหนาวมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
ทั้งสองคนหาเรื่องพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อ พอห้าทุ่มกู้จินจินก็เดินออกมาจากประตูร้านเหล้า เธอมีภูมิคุ้มกันร่างกายมากกว่าอิ๋งจิ่งเสียอีก ใส่กระโปรงสั้นปล่อยให้ขาสองข้างโล่งโจ้งเดินโงกเงกท่ามกลางสายลม
แม้จะอยู่ห่างกันไกล ทว่าก็สามารถมองเห็นได้ว่าเธอแต่งหน้าและกำลังพูดจาหน้าตายิ้มแย้มขำขันเดินออกมาพร้อมกับลูกค้าชายวัยกลางคนไม่กี่คน มือของชายหนึ่งในนั้นวางอยู่บนเอวของเธอ
อิ๋งจิ่งเบิกตามองจนตาแทบถลน แล้วก็มองดูฉีอวี้ที่อยู่ข้างๆ
เอ่อ น่าแปลกมาก