บทที่ 3
ปากพาซวยจนได้ อิ๋งจิ่งมารู้ซึ้งและเข้าใจในภายหลัง แย่แล้วๆ เหมือนทำผิดต่อเธอซะแล้ว
เลขาฯ โจวสำรวมในทันทีแล้วรีบตัดประเด็นนี้ทิ้งไป เขาเอ่ยถามอิ๋งจิ่งด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พวกคุณจะไปที่ไหนครับ”
อิ๋งจิ่งรีบพูด “ไม่ต้องไปส่งครับ ปล่อยพวกผมลงข้างหน้าเถอะ” พอพูดจบเขาก็แอบเหลือบมองชูหนิงอีกครั้ง
เบียดเสียดกันจนที่คับแคบ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้นั่งตัวตรง ทว่าแนบพิงอยู่กับประตูรถ เสื้อถักขนสัตว์สีขาวที่อยู่ภายในเสื้อสูทเป็นคอวี เผยส่วนโค้งเว้านุ่มนวลชวนฝันพอให้ได้คิดจินตนาการไปไกล รถขับเร็วดุจดั่งสายลม ไฟนีออนข้างนอกหน้าต่างที่สาดแสงงดงามพรมลงมาบนใบหน้าของเธอทอแสงวูบวาบ
เลขาฯ โจวเอ่ยอย่างสุภาพและมีมารยาทว่า “พวกคุณเรียนที่มหาวิทยาลัยไหนกันเหรอครับ”
“มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศครับ”
“เป็นทางผ่านพอดีเลยครับ”
อา ช่างเป็นคนดีจริงๆ
อิ๋งจิ่งนิ่งเงียบ ยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก
รถมาส่งถึงที่หมายภายในยี่สิบนาที ฉีอวี้กับกู้จินจินลงจากรถก่อน ส่วนอิ๋งจิ่งขยับก้นแล้วหันหน้ากลับไปพูดกับชูหนิง
“คืนนี้ขอบคุณพวกคุณมากนะครับ”
เลขาฯ โจวเพียงแต่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร แล้วก็บอกลาอย่างมีมารยาทแบบคนที่ไม่คุ้นเคยกัน
อิ๋งจิ่งปิดประตูเรียบร้อย ตอนที่เดินไปก็ยังอาลัยอาวรณ์ ทุกย่างก้าวที่เดินจึงเหลียวกลับมามองหลายหน
ในยามค่ำคืนดึกดื่น เสื้อฮู้ดสีขาวของเขาสะดุดตาเป็นพิเศษ
ครั้นเร่งความเร็วรถ เงาสีขาวก็กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ แล้วหายไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาไม่กี่วินาที
ชูหนิงชำเลืองมองประตูและชื่อมหาวิทยาลัย
ตอนนี้เองเลขาฯ โจวก็เพิ่งจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ส่งคุณกลับไปที่สะพานซื่อฮุ่ย* ดีไหมครับ” ที่นั่นก็คือเขตชุมชนที่ชูหนิงอาศัยอยู่
“ไม่ค่ะ ไปที่อวี้ยวนถาน** เถอะ”
เฉินเยวี่ยโทรศัพท์มาหาเธอราวห้าหกสายตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย กำชับเป็นพันเป็นหมื่นหนว่าเธอต้องหาเวลากลับมาบ้านบ้าง
กำลังกลับรถอยู่ตรงทางแยก ครึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถึงบ้านตระกูลจ้าวที่ริมฝั่งทางเหนือของอวี้ยวนถาน หลังจากเลขาฯ โจวกลับไปแล้ว ชูหนิงอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียวตามลำพังสักพักหนึ่ง จุดบุหรี่สูบให้เสร็จก่อนจะเข้าไปในบ้าน
คุณป้าแม่บ้านเป็นคนเปิดประตู “หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเหรอ อุ๊ย ช้าๆ หน่อยสิ”
พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เฉินเยวี่ยก็รีบเดินออกมาจากห้องรับแขกทันที
เธอดึงผ้าคลุมไหล่มุมหนึ่งที่ห้อยตกลงไปกับพื้นขึ้นมา ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ก็ขมวดคิ้วก่อนแล้ว “แกสูบบุหรี่เหรอ”
ชูหนิงปัดมือของคุณป้าที่ประคองเธออยู่ออกพร้อมกับขอบคุณเสียงเบา
เฉินเยวี่ยกล่าว “สูบเสร็จก็ไม่รู้จักกำจัดกลิ่นให้หายไปก่อนแล้วค่อยเข้ามาในบ้าน ถ้าพ่อแกอยู่บ้านแล้วได้กลิ่นต้องไม่พอใจอีกแน่ แล้วก็ทางฝ่ายครอบครัวที่แกจะแต่งงานนั่นด้วย แกอย่าได้สูบต่อหน้าพวกเขาเป็นอันขาด”
ชูหนิงเดินขาเดี้ยงไปนั่งบนโซฟา ไม่ส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
เฉินเยวี่ยนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ กระชับผ้าคลุมไหล่แน่น ความเร็วในการพูดว่องไวเหมือนเทเมล็ดถั่ว***
“ไหนแกว่าไง ปกติใส่รองเท้าส้นสูง ไม่เห็นเป็นไร คราวนี้ดันมาล้มขาหักซะได้ ตระกูลเฝิงหมายมั่นตั้งใจกับเรื่องการจัดเลี้ยงงานหมั้นมากนะ ตอนนี้พอเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแบบนี้ก็ต้องเลื่อนงานออกไปอีก” ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจ เฉินเยวี่ยโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยด้วยความร้อนใจ “รีบหายดีไวๆ ล่ะ ได้ยินไหม”
ในที่สุดชูหนิงที่เข้ามาแล้วนิ่งเงียบอยู่ตลอดก็เงยขึ้นมามอง “แม่กลัวตระกูลเฝิงจะกลับคำ? กลัวเฝิงจื่อหยางจะไม่เอาหนูเหรอ”
เฉินเยวี่ยไม่พอใจ