“ถ้าเขาผิดคำพูด แต่งงานแล้วก็สามารถหย่าได้”
“ยายเด็กคนนี้!” เฉินเยวี่ยโกรธเป็นไฟ “ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”
ทว่าชูหนิงหัวเราะขึ้นมาทันที เอนตัวไปข้างหลังอย่างผ่อนคลาย “หิวน้ำชะมัด อยากดื่มน้ำจัง”
เฉินเยวี่ยหงุดหงิดพลางบ่นออกมานิดหน่อย สีหน้าไม่พอใจแต่ก็ยังลุกขึ้นไปเอาน้ำให้
“ต่อให้แกไม่เชื่อฟังฉัน ฉันก็เบื่อหน่ายกับแกสุดๆ อยู่แล้ว ยายเด็กเนรคุณไม่รู้คุณคน”
พร่ำบ่นไปเรื่อย ชูหนิงที่ถูกปรักปรำก็ตะโกนเถียงคอเป็นเอ็น “หนูไปขัดใจแม่ตรงไหนล่ะ”
เฉินเยวี่ยวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ “มีคนบอกฉันว่าแกง่วนอยู่กับงานตลอดทั้งวัน กับจื่อหยางในหนึ่งเดือนไม่เจอหน้ากันเลยสักครั้ง ไม่รู้จริงๆ ว่าแกคิดยังไง แล้วก็นะ ฉันเคยเตือนแกไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว เกรงใจพี่ใหญ่ของแกบ้าง”
ในครึ่งประโยคสุดท้ายแผดเผาความอดทนของชูหนิงจนหมดสิ้น เธอยืนขึ้นโดยค้ำกับไม้เท้า “อยากประจบเขาแม่ก็ไปประจบเอง ถ้าหนูอยู่ที่นี่ สำหรับจ้าวหมิงชวนแล้ว ไม่มีคำว่าเกรงใจให้เขาหรอก”
บรรยากาศเหมือนกับถูกแช่แข็งไปในชั่วพริบตา
เฉินเยวี่ยไม่ทันได้รักษาภาพลักษณ์ที่สง่างาม พูดจากระชากเสียงสูงขึ้นมาทันที “แกต้องเข้าใจไว้ให้ดี ถึงเราจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ แต่ตระกูลจ้าวเป็นครอบครัวใหญ่ มีกิจการใหญ่โต หลายปีมานี้ที่ฉันเห็นก็เป็นแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ต่อให้แกเก่งกาจแค่ไหนก็เป็นแค่ผู้หญิง คนที่มีอำนาจดูแลจัดการครอบครัวตัวจริงเป็นใคร ก็เขาไงล่ะ จ้าวหมิงชวน!”
ประโยคนี้สะกิดโดนต่อมโกรธของชูหนิงเข้าอย่างจัง เธอโกรธจนควบคุมโทสะไม่ไหว “เป็นผู้หญิงแล้วไงล่ะ ครอบครัวนี้ไม่มีที่ให้ผู้หญิงเลยเหรอ”
“นี่แกกำลังดึงดันบิดเบือนความหมายของคำพูดฉัน”
ชูหนิงไม่มีความอดทนมากพอที่จะพูดจาซ้ำซากจริงๆ เธอขยับไม้เท้า
เฉินเยวี่ยร้อนรน น้ำเสียงอ่อนลงทันที “เอ๋? จะไปไหนน่ะ แกไม่ดื่มน้ำแล้วเหรอ”
ชูหนิงเดินกระย่องกระแย่ง “ไม่ดื่มแล้ว อิ่มแล้ว”
เธอปิดประตู เสียงบ่นจ้ำจี้จ้ำไชของเฉินเยวี่ยถูกขังไว้ในนั้น
บรรยากาศเงียบสนิท
ชูหนิงกดหมายเลขชั้น จ้องมองเลขชั้นที่ปรากฏบนจอด้านบน กลับบ้านตระกูลจ้าวทีไรช่างปวดประสาทจริงๆ ขณะที่ลิฟต์เปิดออก ข้างในมีผู้ชายกำลังยืนโงนเงนอยู่ ในเวลาเดียวกันเขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง สายตาของคนทั้งสองเหมือนเกิดเหตุการณ์ดาวอังคารชนโลก*
ชูหนิงใจเต้นตึกตัก วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้จุดธูปไหว้พระสินะ มีแต่เจอเรื่องซวยๆ น่าหงุดหงิดใจอยู่เรื่อยเลย
จ้าวหมิงชวนสวมชุดสูทเป็นทางการแบบสามชิ้น ปลดคลายกระดุมตรงคอเสื้อออก บนตัวมีกลิ่นเหล้าจางๆ เขาพบปะกินอาหารกับคนของสำนักแผนงานเสร็จแล้ว แต่ดื่มเหล้ามากเกินไปหน่อย จึงมีสภาพอับเฉาคล้ายจุกแน่นแบบเมาแหล่มิเมาแหล่
ด้วยสัญชาตญาณ ชูหนิงสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปทางขวา หลบออกห่างเหมือนรังเกียจสุดๆ
จ้าวหมิงชวนเดือดขึ้นมาทันที “ทำสายตาอะไรของเธอ”
ชูหนิงตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันกำลังหลีกทางให้คุณชายใหญ่แห่งตระกูลจ้าว”
จ้าวหมิงชวนหรี่ตาสองข้างลงมอง หางตาแคบยาวตวัดขึ้นข้างบน จับจ้องมองเธออยู่แบบนี้
ชูหนิงเองก็ไม่กลัวเช่นกัน สบตากลับไป
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีจ้าวหมิงชวนพลันยิ้มที่มุมปาก ยิ้มกริ่มอย่างประหลาด “เก่งกล้าขึ้นมากแล้วสินะ” ขณะเดียวกันสายตาก็มองลงมาตรงขาที่ใส่เฝือกของเธอ
ชูหนิงระวังตัวแจ
จ้าวหมิงชวนกลับไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองคนเดินเฉียดไหล่กันไป เงาหลังสูงตระหง่านของชายหนุ่มเขียนอักษรตัวเบ้อเร่อไว้ว่า ‘บ้าคลั่ง’
ชูหนิงต้องมารองรับอารมณ์ของคนอื่นติดกันถึงสองยก สภาพจิตใจจึงไม่ต่างอะไรกับกาน้ำเต้าที่ไม่พ่นควัน* เธอรู้สึกคับข้องใจอย่างมาก
ระหว่างทางกลับไปยังที่พักก็รับสายของเฝิงจื่อหยาง
“หนิง เธออยู่ไหนน่ะ”
ทางฝั่งนั้นมีเสียงเพลง ประมาณว่าคงจะสนุกสนานรื่นเริงอยู่ที่ไหนสักแห่ง ชูหนิงบอกเขาว่า “มีธุระอะไรก็ว่ามา”
“หูย เย็นชา”
“ฉันวางนะ”
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆ กลัวว่าเธอจะยุ่งจนลืมงาน อย่าลืมวันมะรืนล่ะ”
“ทำอะไร”
“ดูการแข่งขันไง!” เฝิงจื่อหยางแผดเสียง
ชูหนิงลืมไปแล้วจริงๆ