จะว่าไปอีตาเฝิงจื่อหยางคนนี้ก็เป็นคนประเภทผ่าเหล่าผ่ากอแตกต่างจากหมู่ทายาทรุ่นลูกตระกูลเศรษฐี ถ้าพูดแบบจริงจัง เขาไม่นับว่าเป็นนักธุรกิจประเภทที่มีความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำท่าทางสำรวยแบบพวกลูกคุณหนูคุณชายในเมืองกรุง แวดวงสังคมของชูหนิงมีการแบ่งชั้นกันชัดเจนมาก ถ้าไม่มีความคิดเห็นที่พ้องต้องกัน สามารถร่วมงานกันได้ ไม่อย่างนั้นก็ต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี สามารถที่จะคบกันแบบผิวเผินเพื่อแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันได้
แรกเริ่มที่รู้จักเฝิงจื่อหยาง เดิมทีก็นึกว่าเขาเป็นคนประเภทที่สอง ทว่าพอไปมาหาสู่กันนานวันเข้า เขาก็เป็นคนประเภทแรกควบคู่ไปด้วย ความอดทนที่ชูหนิงมีต่อเขาทั้งเรื่องส่วนรวมและส่วนตัวล้วนมีให้มากกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย
เฝิงจื่อหยางยังคงบ่นพึมพำอยู่ในสายโทรศัพท์
ชูหนิงพูดตัดบท “ไปเป็นเพื่อนนายด้วยก็ได้”
ฝั่งนั้นเงียบเสียง
ชูหนิงพลันผุดความคิดขึ้นมา พูดแบบกึ่งล้อเล่นกึ่งฉุนเฉียว “ช่วยฉันฆ่าจ้าวหมิงชวนสิ”
เฝิงจื่อหยางส่งเสียงกระแอมสองครั้งทันที “ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันแล้ว ลาก่อน” จากนั้นก็วางสายไป
ชูหนิงหมดคำพูด เป็นคนพรรค์ไหนกันล่ะนี่
มะรืนนี้เป็นวันพฤหัสบดี ชูหนิงยังพอมีเวลาว่างช่วงบ่ายให้เฝิงจื่อหยาง เฝิงจื่อหยางเป็นแฟนคลับกองทัพแบบฉาบฉวย เธอเคยเห็นคอลเล็กชั่นของเขา เขามีโมเดลรถถังและเครื่องบินที่มีรูปร่างพิลึกกึกกือส่วนหนึ่ง สามารถวางเต็มสองห้องได้เชียวแหละ
ระหว่างทาง ชูหนิงถามเขาว่า “นายเองก็เรื่อยเปื่อยทำอะไรตามใจชอบเหลือเกินนะ สนใจการแข่งขันที่ไม่เป็นทางการแบบนี้ด้วย?”
นิ้วมือของเฝิงจื่อหยางอยู่ที่พวงมาลัย “ทำไมต้องถามไถ่ภูมิหลังที่มาของวีรบุรุษ* แล้วอีกอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยมีความซ้ำซากจำเจในเชิงศิลปะ แถมมีแรงบันดาลใจมากกว่าด้วย”
ชูหนิงเอียงศีรษะถาม “นักศึกษา?”
เฝิงจื่อหยางยิ้มๆ แล้วเชิดคางไปข้างหน้า “ถึงแล้ว”
เมื่อถึงประตูมหาวิทยาลัยทรงจัตุรัส สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คือคติพจน์ประจำโรงเรียนประโยคนั้น
‘บำเพ็ญตนด้วยความสงบเงียบ สร้างเสริมคุณธรรมด้วยความสมถะออมอด’
ครั้นชูหนิงเห็นชื่อมหาวิทยาลัย จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กหนุ่มเสื้อขาวในวันนั้นขึ้นมาทันที ความทรงจำผุดขึ้นมารางๆ เป็นระลอก แต่แล้วก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ยามฤดูใบไม้ร่วงในแต่ละปีมหาวิทยาลัยการบินฯ C จะจัดการแข่งขันประลองนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ขึ้นหนึ่งครั้งภายในมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นของมหาวิทยาลัยไปแล้ว วิศวกรรมด้านการออกแบบอากาศยานและวิศวกรรมสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์คือสาขาเอกที่เป็นตัวเต็ง ช่วงไม่กี่ปีมานี้นับว่าเป็นคู่กัดที่แย่งชิงรางวัลแจ็กพ็อตกันมาตลอด
การแข่งขันจัดขึ้นตอนบ่ายสองโมง บริเวณที่รอมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
“นายดูอะไรอยู่น่ะ” ฉีอวี้กำลังสอบเทียบ* เครื่องรับสัญญาณระยะไกลเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตบไหล่ของอิ๋งจิ่ง “การตั้งค่าเส้นทางไม่มีปัญหา แต่นายระวังนะ เวลาเลี้ยวโค้งเล็กๆ ควบคุมความเร็วในการบินให้ดี”
อิ๋งจิ่งใส่ชุดยูนิฟอร์มการแข่งขันสีขาว คล้ายชุดนักเรียนสมัยมัธยมปลายนิดหน่อย นอกจากโครงสร้างทางร่างกายที่ค่อยๆ สูงขึ้นแล้ว หน้าตาก็ยังหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาไม่มีเปลี่ยน เขาถกแขนเสื้อขึ้นไปครึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างชี้ตรงที่นั่งชม
“อธิการบดีของมหา’ลัยนั่งตรงนั้นเหรอ”
“ใช่”
“ทางนั้นล่ะ”
“ทางซ้ายเป็นที่นั่งของมหา’ลัยเรา ทางขวาเป็นที่นั่งของบุคลากรภายนอก” ฉีอวี้เข้ามาใกล้ ชี้โพรงให้กระรอกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “จางไหวอวี้นั่งแถวสามด้านซ้าย ไปโปรยกลีบดอกไม้ใส่เธอตรงนั้นสิ”
ในหอประชุมโดยส่วนใหญ่ที่นั่งแทบจะเต็มหมดแล้ว เนืองแน่นไปด้วยศีรษะดำๆ ของผู้คน
เมื่อเฝิงจื่อหยางกับชูหนิงเข้ามากลับดูสะดุดตาเป็นพิเศษ สายตาอิ๋งจิ่งมองเห็นเธอทันที ตอนที่เห็นเธอ เขาก็ทำปากจู๋เป็นวงกลมโดยไม่รู้ตัว
“ว้าว”
ฉีอวี้พูดกระซิบเสียงเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแบบว่าฉันรู้นะ “ฉันติดตั้งเป็นกลีบดอกกุหลาบให้นายแหละ”
“ฉันไม่ไปโปรยทางนั้นหรอก” อิ๋งจิ่งกล่าวประโยคนี้จบก็หันหลังกลับไปพร้อมกับยิ้มตาหยี
ฉีอวี้ชะเง้อมองจนคอยาวหมดแล้ว “งั้นนายจะไปทางไหนล่ะ เอ๊ะ ฉันบอกกับนายไว้เลย อย่าเปลี่ยนเส้นทางโดยเด็ดขาด ระวังเครื่องบินตกนะเฮ้ย”
“นายยังคิดที่จะคว้าตำแหน่งจริงๆ เหรอ” อิ๋งจิ่งไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “เอาแบบสบายๆ หน่อย แค่เล่นๆ ก็พอแล้ว”
การแข่งขันของมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันพอสมควรในวงการอุตสาหกรรมว่าต้องการที่จะเผยแพร่ชื่อเสียง ทางมหาวิทยาลัยเองก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับสาขาเอกที่มีอิทธิพลต่อวงการมากกว่า ทุกคนรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ยิ่งนานวันเข้าก็กลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไปแล้ว
ฉีอวี้หมดคำจะพูด แต่ก็ยังไม่เต็มใจอยู่ดี “ถ้าหากแค่จะเล่นจริงๆ ล่ะก็ ทำไมนายยังต้องอดหลับอดนอนหลายวันขนาดนั้นล่ะ”
อิ๋งจิ่งพูดทิ้งท้ายอย่างไม่แยแส “ก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำไง”
สาขาเอกที่พวกเขาเรียนคือเครื่องยนต์อากาศยาน จับสลากขึ้นเวทีได้คิวที่หก ห้าคิวก่อนหน้านี้ต้องขึ้นเวทีแสดงทีละคน ส่วนอาจารย์ที่ปรึกษาที่รับผิดชอบโครงการคอยกำกับสั่งการอยู่ข้างล่างเวที