Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ
ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ บทที่ 4
หลังจากวันนั้นฝนตกก็โปรยปรายต่อเนื่องกันหนึ่งสัปดาห์ กว่าอากาศจะกลับมาปลอดโปร่งก็จนกระทั่งวันเสาร์
การแสดงบทขาเดี้ยงเพื่อยืดเวลางานหมั้นของชูหนิง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องทำไปจนจบ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามระเบียบแบบแผน เธอ ‘ถอดเฝือกออก’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พอถึงสัปดาห์นี้ก็ ‘พยุงไม้เท้า’ แล้วถึงตอนนี้ก็ ‘หายดีเป็นปลิดทิ้ง’ กระบวนการดำเนินคืบหน้าเป็นขั้นเป็นตอน เรียกได้ว่าไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ
วันนี้เธอนัดกวนอวี้กินข้าว เป็นร้านอาหารที่เปิดใหม่ รูปแบบร้านลอกเลียนแบบสไตล์ยุคโบราณที่งดงามเมื่อสมัยราชวงศ์ถังเฟื่องฟู ใช้ฉากกั้นบังลมรูปหญิงสาวแยกที่นั่งเป็นล็อก แถมยังมีมือโปรดีดบรรเลงผีผา*และกู่เจิง** บนเวที งดงามสละสลวย และค่อนข้างมีท่วงทำนองแข็งกร้าว กวนอวี้มาสายห้านาที ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ก็พร่ำบ่นซ้ำซาก
“ฉันไม่ได้กลับปักกิ่งแค่สามเดือน ทางประตูเจี้ยนกั๋วเหมินนั่นรถติดกว่าเมื่อก่อนอีกนะ อย่างกับโถส้วมชักโครกอุดตันเลยให้ตายสิ และยังเจอรถเปลี่ยนเลนกันชุลมุนตลอดเลย คลื่นไส้จะตายชัก โอ๊ะ? หนิงเอ๋อร์ ขาเธอหายดีแล้วเหรอ” กวนอวี้เสียงไพเราะรื่นหู เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกได้ครึ่งเดียวก็เห็นขาของชูหนิง พูดพลางหัวเราะร่า “ตระกูลเฝิงคงจะแจ้งกำหนดการงานหมั้นมาอีกแล้วใช่ไหม”
วันนี้ชูหนิงทาลิปสติกสีแดงเข้ม ถูกแสงไฟขับให้โดดเด่น จนดูสวยงามผิวขาวเป็นพิเศษ พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอก็อารมณ์ดี
“พวกเขาไปเจอพระอาจารย์ชาวฮ่องกงดูฤกษ์ไว้แล้ว คราวที่แล้วคลาดกัน ครึ่งปีต่อมาก็ไม่มีฤกษ์ที่เหมาะสมเลย บอกว่าจะเป็นเคราะห์ชงขัดแย้งกับบรรพบุรุษ”
คุณปู่ของตระกูลเฝิงเชื่อเรื่องเหล่านี้ ซึ่งตรงกับความต้องการของเธอพอดี
กวนอวี้รูปร่างสมบูรณ์พูนสุข เธอนั่งงอขาพับซ้อนกันบนเบาะรอง พูดหยอกล้อว่า “เฝิงจื่อหยางใช้ได้เลยทีเดียว จากเรื่องปลอมแสดงออกมาเสียสมจริง เดี๋ยวเธอก็ลงเอยกับเขาจนได้”
ชูหนิงทำเป็นไม่ได้ยิน ชายตาขึ้นมาจ้องกวนอวี้ “เธอไปเสริมอึ๋มที่เกาหลีเหรอ”
“ยายบ้า เดิมทีฉันก็คัพซีอยู่แล้วย่ะ”
“จริงเหรอ” ชูหนิงครุ่นคิดแล้วก็เลิกคิ้ว “ให้ฉันจับหน่อย”
“ฮึ่ย! ยายสาวอันธพาล!” เสียงหัวเราะของกวนอวี้ดังขึ้นเป็นระยะๆ
ชูหนิงเอามือยันคางอย่างเกียจคร้าน ท่าทางผ่อนคลาย
เธอและกวนอวี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลาย นับรวมๆ แล้วก็เป็นมิตรภาพเล็กๆ พื้นฐานครอบครัวของกวนอวี้ร่ำรวย นิสัยเบิกบานสดใส เรียนสาขาเอกการสื่อสารมวลชน หลังเรียนจบทำงานที่จงกว่าง*** ได้สองปี รู้สึกว่าไม่มีอนาคตก็เลยลาออกจากงาน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นชูหนิงกำลังเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสองคนจึงรวมตัวเข้าพวกกัน กวนอวี้ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่ต้นของบริษัทการลงทุนหนิงจิ้ง
บริษัทการลงทุนหนิงจิ้งผ่านช่วงขาขึ้นขาลงมาแล้วสามปี แม้ขอบเขตกิจการจะไม่กว้างนัก แต่ปัจจุบันก็เป็นธุรกิจที่มั่นคงมีเสถียรภาพ
พูดไปพลางกินไปพลาง กวนอวี้พูดขึ้น “ฉันได้ยินเสี่ยวซ่งบอกว่าคราวก่อนเธอถูกคนของกลุ่มซิ่นต๋าดักที่ประตูทางเข้าสำนักงานเหรอ”
“อืม” ชูหนิงชะงักไปชั่วครู่ “เรื่องมันนานมาแล้ว”
“แล้วหลังจากนั้นเธอปลีกตัวหนีพ้นมาได้ยังไงล่ะ”
ตะเกียบของชูหนิงที่กำลังยื่นมาทางอาหารหยุดค้างอยู่กลางอากาศในชั่ววินาที แล้วจึงคีบกุ้งตัวหนึ่ง
“นั่งรถจักรยานของผู้ชายคนหนึ่ง”
“ผู้ชาย?” กวนอวี้เกิดสนใจขึ้นมา “เป็นยังไงเหรอ”
ชูหนิงคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “น่ารำคาญมาก”
“แหม” กวนอวี้คิดว่าเธอคงพูดโกหก จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “จริงสิ ครั้งก่อนเธอขอให้ลูกพี่ลูกน้องไปทานข้าวเป็นเพื่อนประธานจางใช่หรือเปล่า”
ชูหนิงเงยขึ้นมามอง “เรื่องนี้เธอก็รู้ด้วย?”
กวนอวี้มีทีท่าไม่สนใจ “ถ้าอยากจะรู้ก็ไม่เห็นยากเลย แค่เปิดหาข่าวบันเทิงสักหน่อยก็รู้แล้วล่ะ”
เรื่องนี้อธิบายไปก็คงยาว แต่ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ
ลูกพี่ลูกน้องของชูหนิงชื่อจ้าวเป้ยฉี เป็นนักแสดงสาวดาวรุ่งที่ถือว่ามีความนิยมใช้ได้ในวงการบันเทิง เดินอยู่บนเส้นทางนักแสดงสาวสวยที่ไร้มลทินมัวหมอง ช่วงที่ชูหนิงต่อสู้เพื่อให้ได้โครงการลงทุน แต่ทำยังไงประธานจางที่ร่ำรวยเงินทองมีอำนาจมหาศาลไม่ยอมตกลงด้วยมาตลอด ตอนหลังซักถามได้ความว่าประธานจางที่เพิ่งกลายเป็นเศรษฐีใหม่แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชื่นชอบบรรดาโครงการที่ทำแล้วได้หน้า ชูหนิงก็เลยให้ลูกพี่ลูกน้องไปร่วมงานกินเลี้ยง เป็นดาราสาวคนดังที่ช่วยรักษาภาพลักษณ์ของงาน เรื่องนั้นทำให้ประธานจางเบิกบานใจอย่างยิ่ง วันต่อมาก็แจ้งให้ชูหนิงมาเซ็นสัญญาเลย
กวนอวี้บอกเธอว่า “ที่น้องจ้าวไปร่วมงานกินเลี้ยงแบบนี้ถูกสื่อถ่ายภาพเอาไว้พอดี แถมมีการพูดจาซุบซิบเสียดสีให้น่าสงสัยอีก เค้าเป็นฝ่ายเสียหายขาดทุนมากนะ”
พอได้ยิน ชูหนิงก็ไร้ซึ่งท่าทีใดๆ “เค้าจะเสียเปรียบอะไรล่ะ หลายปีมานี้ฉันปรนนิบัติรับใช้คนตระกูลจ้าวของพวกเขาน้อยไปงั้นเหรอ ทรัพยากรสำหรับภาพยนตร์เรื่องก่อนของเค้านั่นน่ะ ฉันก็เป็นคนหามาให้ ทานข้าวสักมื้อแล้วจะเป็นยังไงเหรอ” ชูหนิงพูดฉะฉานเสียงดังฟังชัด “น้ำใจคนเราพึ่งพาซึ่งกันและกัน ฉันช่วยเค้า เค้าช่วยฉัน ในใจเค้าจะไม่รู้เชียวเหรอ เค้าสมควรจะรู้นะ”
กวนอวี้รู้ถึงความซับซ้อนและความไม่ลงรอยกันในความสัมพันธ์ระหว่างชูหนิงกับตระกูลจ้าวก็เลยไม่สามารถโต้แย้งได้ไปชั่วขณะ
“แล้วอีกอย่าง ข่าวแง่ลบพวกนั้นก็ถูกฝ่ายทางการกลบข่าวในวันถัดไปอยู่แล้ว” ชูหนิงพูดเสียงเย็นชากึ่งไม่แยแส
กวนอวี้ลังเลชั่วครู่ก่อนจะพูด “จ้าวหมิงชวนเหรอ”
ชูหนิงตอบรับโดยปริยายและรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที “คนตระกูลจ้าวเป็นแบบนี้กันหมดนั่นแหละ ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ควรรับปากตั้งแต่แรกสิ พอรับปากก็อย่าหันหลังวิ่งแจ้นกลับไปบ่นฟ้องร้องทุกข์ทำเป็นเวทนากับคนอื่น”
ครั้นชูหนิงพูดคำว่าเวทนาจบ กวนอวี้พลันนั่งตัวตรงแน่วทันที เริ่มเอ่ยคำพูดคำจาขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก
“เอ่อ พะ…พี่จ้าว” พอพูดแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรีบแก้คำพูดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ประธานจ้าว”
ชูหนิงพลันผงะก่อนจะหันหน้ากลับไป จ้าวหมิงชวนเดินออกมาจากหลังฉากกั้นด้วยใบหน้าถมึงทึง
บังเอิญชะมัด