บทที่ 5
ชูหนิงเบนความสนใจไปเพียงชั่วครู่สั้นๆ จากนั้นก็กลับมาใช้สมาธิจดจ่อเช่นเดิม
เธออ่านโครงการคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็ตัดสินในแวบแรกทันที
กวนอวี้ถาม “ถูกใจอันไหนเหรอ”
นิ้วมือของชูหนิงชี้สองอัน “ไม่เลวเลย”
อันหนึ่งเป็นโครงการบริหารจัดการถนน อันหนึ่งเกี่ยวกับสายเคเบิลใยแก้วนำแสง พื้นที่ทำกำไรมีข้อจำกัด แต่มั่นคงปลอดภัยและป้องกันได้ ทั้งยังเป็นโครงการที่ชูหนิงเชี่ยวชาญเสียด้วย กวนอวี้เติมชาเขียวให้เธอเต็มถ้วย
“อันสุดท้ายนั่นก็ใช้ได้เลยทีเดียว ฟังชื่อแล้วดูไฮโซดีนะ”
กวนอวี้หมายถึงโครงการของมหาวิทยาลัยการบินฯ C นั่นเอง
น้ำเสียงของชูหนิงบางเบาเอื่อยเฉื่อย ทว่าท่าทางกลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาด “โครงการประเภทนี้ไม่เอาหรอก” เธอกลับไปให้ความสนอกสนใจกับสองโครงการที่เมื่อครู่เพิ่งจะคัดเลือกออกมาอีกครั้ง “ที่ทงโจว* เหรอ ทางนี้ฉันพอจะสามารถหาคนที่คุ้นเคยกันได้บ้าง ทำงานง่าย”
พอพูดถึงเงิน ดวงตาก็เปล่งประกาย กวนอวี้บุ้ยปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี
เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ควรค่าที่จะต้องพูดถึงอีก คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนค่ำชูหนิงจะได้รับสายของเฝิงจื่อหยางอีก
“เธอไม่ได้เลือกโครงการของมหาวิทยาลัยการบินฯ C นั่นเหรอ”
เวลานี้ชูหนิงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จและใส่ชุดอยู่บ้าน หน้าอกหน้าใจงดงามวับๆ แวมๆ เส้นผมของเธอมัดรวบเป็นมวย ใส่ที่คาดผมหูกระต่าย พอได้ยินก็วางใบเสนอราคาในมือลง
“ทำไมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรกวนอวี้ก็บอกกับนายหมดเลย”
“ฉันว่าเธอควรคิดทบทวนนะ” ทว่าเฝิงจื่อหยางกลับไม่ได้พูดหยอกล้อเหมือนปกติ
“เหตุผลล่ะ”
“ฉันชอบไง”
“ไปให้พ้น”
ท่าทีร่าเริงของเฝิงจื่อหยางยังไม่จางหายไปไหน “ล้อเล่นหรอกน่า อย่าเพิ่งวางโทรศัพท์สิ หนิงเอ๋อร์ ฉันพูดกับเธอจริงๆ นะ นี่เป็นโครงการที่ดี เป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ โอกาสข้างหน้ายาวไกล หรูหราโอ่อ่า เข้ากับเธอมากเลยล่ะ”
ชูหนิงเอนตัวไปข้างหลัง ทำตัวผ่อนคลายลงตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกเจตนาแท้จริงด้วยคำพูดที่มีท่วงทำนองเชื่องช้า
“เทคโนโลยีแบบใหม่ โอกาสข้างหน้ายาวไกลอะไรกัน แต่ละอันห่วยแตกทั้งนั้น ก็แค่พูดเพื่อให้ฟังดูดี อย่าพูดถึงว่าทุ่มเงินลงทุนในโครงการนั้นเพื่อให้ได้ดอกผลเลย ต่อให้ใช้นายทุ่มลงไปทั้งคน พรุ่งนี้ก็ไม่มีทางที่ดอกผลต้นกล้าจะงอกเงยขึ้นมาได้หรอก”
เฝิงจื่อหยางด้านนั้นอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด อยากจะโต้แย้งแต่ก็ไม่มีคำพูดออกมาสักคำ
ชูหนิงเกาหูกระต่ายซึ่งอยู่บนที่คาดผมแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันว่าช่วงนี้นายเหลิงนิดหน่อยแฮะ”
“…”
“นายร่วมมือกับจ้าวหมิงชวนแล้วใช่ไหม ตั้งใจหาเรื่องหลอกลวงมาให้ฉันติดกับโดยเฉพาะสินะ”
เฝิงจื่อหยางร้องโวยเสียงดังลั่น “พี่ใหญ่เธอเห็นฉันแล้วถูกใจงั้นเหรอ!”
มันก็ใช่ วิสัยทัศน์ของจ้าวหมิงชวน กล่าวแบบไม่เกินจริงก็คือสามารถทัดเทียมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเง็กเซียนฮ่องเต้ได้เลย
ชูหนิงหาวหวอดแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วางแล้วนะ”
นับตั้งแต่วันนั้นที่ลี่โจวซานมอบหนังสือโครงการให้อิ๋งจิ่งก็ผ่านไปสามวันแล้ว
ความจริงคืนนั้นหลังจากกลับไปที่ห้อง อิ๋งจิ่งกะจะอ่านคร่าวๆ สักหนึ่งรอบ แต่ก็จนปัญญาเพราะมันยาวเกินไป อ่านไปได้ครึ่งทางเขาก็หลับเสียแล้ว ครั้นตื่นขึ้นมา จากเรื่องที่ยังทำไม่จบก็กลายเป็นว่าจบเรื่องไปแล้ว จนวันต่อมาเมื่อลี่โจวซานเรียกอิ๋งจิ่งที่เพิ่งจะเสร็จจากการพยายามอย่างเต็มที่ในการแข่งขันบาสเกตบอลแบบครึ่งสนาม มาถามว่าเขาคิดอย่างไร
ท่านอิ๋งต้าหวังผู้ที่ร้อนระอุเหงื่อท่วมตัว เลือดเดือดพล่าน แถมยังหมกมุ่นอยู่กับการแข่งขันอันดุเดือด ถามกลับด้วยแก้มบวมตุ่ย พร้อมไอศกรีมทั้งแท่งที่ยัดอยู่ในปาก
“คิดยังไงอะไรเหรอครับ”
ลี่โจวซานหน้าแดงฉาน สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความโมโห
อิ๋งจิ่งตอบสนอง รีบสาวเท้าไล่ตามไป “ศาสตราจารย์ลี่ครับๆ!”
ผลก็คือวิ่งเร็วเกินไปจนเกือบจะหกล้ม อิ๋งจิ่งเดินโซเซอยู่หลายก้าวก่อนจะคุมร่างกายให้นิ่ง ขณะเดียวกันก็ผ่อนคลายมือ เจ้าตัวไม่ได้หกล้มหรอกนะ แต่ไอศกรีมแท่งรสถั่วเขียวที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งกระเด็นออกไปเสียงดังฟิ้ว เหมือนกับมีตาเห็น หล่นแหมะใส่ตรงกลางศีรษะของสหายเฒ่าอย่างลี่โจวซานเข้าอย่างจัง
จากนั้นเสียงตะคอกคำรามสะเทือนเลือนลั่นดังสนั่นก้องทางเดินว่า “ไอ้! เด็ก! เวร!”
จบเห่กัน