อิ๋งจิ่งพนมมือสองข้างขึ้นไหว้ เกือบจะคุกเข่าเอาศีรษะลงไปคำนับแนบพื้น ลี่โจวซานไม่แยแสไม่เห็นหัวเขา ไม่ตอบอะไรอีก เดินจากไปด้วยความโมโห
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่อิ๋งจิ่งก็รู้สึกผิดจริงๆ หลังจากเขากลับหอพักแล้วก็ส่งข้อความไปขอโทษลี่โจวซานเป็นอันดับแรก
ไม่ยักตอบแฮะ
มื้อกลางวันก็กินข้าวแค่สามถ้วย ไม่คิดว่าตัวเองจะไม่รู้สึกหิวแบบนี้ พอตกบ่ายมีคนหลายกลุ่มมาพูดจาทักทาย ทุกคนต่างพูดสรรเสริญเยินยอ ไม่มีใครยอมใครสักคน
“คุณสูญเสียโอกาสในการเป็นโฆษกพูดแทนไอติมแท่งรสถั่วเขียวแล้วนะครับ”
“ถ้าสอบตกปลายภาคก็คงเข้าใจได้แหละ”
“ขอแสดงความยินดีกับนายด้วย กลายเป็นคนในดวงใจที่ศาสตราจารย์ลี่ไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดกาลนับตั้งแต่บัดนี้”
อิ๋งจิ่งเคี้ยวหมากฝรั่ง ฟังพวกเขาพูดจาหยอกล้อไม่เป็นเรื่องเป็นราวด้วยเจตนาที่ดี
“จริงสิ พวกนายเคยได้ยินกันไหม คราวก่อนตาแก่ลี่ทะเลาะกับรองคณบดีถาน เสียงดังใช้ได้เลย” จู่ๆ เฉิงอีหานที่อยู่หอพักห้องติดกันก็พูดขึ้นมา
“หา! จริงเหรอเนี่ย ฉันยังนึกว่าปล่อยข่าวมั่วๆ เสียอีกนะ”
“เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นฉันกำลังกรอกแบบฟอร์มอยู่ที่ชั้นสาม เสียงดังลั่นมาก” หัวหน้าห้องตัวอ้วนเป็นพยาน ทำมือจีบๆ งอๆ ทำท่าทางลึกลับพิกล “ว่ากันว่าตาแก่ลี่อยากจะสู้เพื่อให้ได้โควตารายชื่อสำหรับโครงการนึงที่จะส่งเสริมผลักดันสู่ภายนอก แต่รองคณบดีถานไม่เห็นด้วย อยากจะเอาโควตารายชื่อให้สาขาเอกการออกแบบอากาศยานทั้งหมด บอกว่าพวกเขามีหวังมากกว่า”
หอพักที่เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นเงียบสงบลงในทันที
ผ่านไปสักพักเฉิงอีหานก็พูดว่า “ความลำเอียงของมหา’ลัยก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้วล่ะ”
น้ำเสียงขุ่นเคืองใจแบบไม่ได้รับความเป็นธรรมดังขึ้นมา “ใครใช้ให้พวกเขามีข้อได้เปรียบเป็นสาขาเอกที่ได้รับความนิยมกันล่ะ ปัดโธ่ เสียใจแทบตาย”
อิ๋งจิ่งที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเงยหน้าขึ้นมา “ทำไมต้องเสียใจ”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก สายตาเรียบเฉย มองตรงแน่ว ดูท่าทางไม่ได้มีความก้าวร้าวเลยแม้แต่น้อย แต่ทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
อิ๋งจิ่งไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากมายนัก ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คล้ายกับว่าพูดรำพึงรำพันกับตัวเอง
“ฉันรู้สึกว่าพวกเราก็เยี่ยมมากเหมือนกัน”
ฉีอวี้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะก็หันหน้ากลับมา พูดคล้อยตามเขา “นั่นสิ เยี่ยมมากเลย”
คำพูดเห็นด้วยเพียงไม่กี่คำไม่อาจบอกเหตุผลที่เจาะจงแน่ชัดได้ หลายปีผ่านไป วันเวลาผันเปลี่ยน บางทีคำพูดที่ใช้เพื่ออธิบายสภาวะอารมณ์ในตอนนี้ได้ ก็อาจจะเป็นว่า ‘ตรากตรำร่ำเรียนอย่างยากลำบากเหมือนกัน ทำไมต้องเต็มใจยอมรับว่าสู้คนอื่นไม่ได้’
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
หัวหน้าห้องตัวอ้วนนำหัวข้อสนทนาวกกลับมาที่ลี่โจวซานอีกหน “ถึงแม้ศาสตราจารย์ลี่จะโหด แต่ก็เป็นคนที่ดีมาก เรื่องนี้ถือว่านายออกโรงแทนสาขาเอกของพวกเรานะ”
“เหมือนเขาจะอยู่คนเดียวมาตลอด ยังไม่เคยเห็นภรรยาของอาจารย์เลย”
“ชู่ว” เฉิงอีหานลดเสียงให้ต่ำลง “ศาสตราจารย์ลี่กับภรรยาหย่าขาดกันนานมากแล้ว แล้วศาลก็ไม่พิพากษามอบลูกสาวให้เขาด้วย”
คราวนี้เป็นความเงียบกริบแบบรวมหมู่กันของจริง ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคำ
อิ๋งจิ่งอัดอั้นตันใจมาก ถอนหายใจออกมายาวๆ ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปข้างนอก
ฉีอวี้หันไปถามเขา “จะไปไหนเหรอ”
ประตูปิดสนิทแล้ว
คล้อยสู่ยามวิกาล ขับแสงจันทร์รำไรให้โดดเด่น ตอนแรกอิ๋งจิ่งแค่อยากจะออกไปซื้อไอศกรีมแท่งเท่านั้น ขณะที่เดินๆ อยู่ เท้าก็จับกลิ่นได้อย่างฉับไวอย่างกับมีจมูกสุนัขติดอยู่ รีบเดินไปทางหอพักของบุคลากรทันที
เขตที่พักสวัสดิการของอาจารย์เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีก่อน คนส่วนใหญ่จึงย้ายไปอยู่ทางนั้นกันหมด ตึกเก่าตรงหัวมุมตะวันตกเฉียงใต้ไม่ได้ร้าง เพียงแค่คนที่อาศัยอยู่น้อยมากจนนับคนได้ ลี่โจวซานก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น อิ๋งจิ่งไม่รู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน แต่ทั้งตึกก็มีไฟสว่างอยู่แค่สามสี่ดวงเท่านั้น จึงคิดที่จะลองหาดูจากชั้นล่างของตึก
ตึกนี้ค่อนข้างเก่า มีอายุหลายปีหน่อย จึงคร่ำคร่าอย่างเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างทางขึ้นบันไดมืดตึ๊ดตื๋อ อิ๋งจิ่งกระทืบเท้าเล็กน้อย ไฟก็ไม่สว่าง เขาจึงตะโกนอย่างชายชาตรีอีกครั้ง
“ยาฮู!”
…หน้าไม่อายจริงๆ
อิ๋งจิ่งที่กำลังงมหาทางขึ้นชั้นสองอยู่มองเข้าไปข้างในหน้าต่างที่ไฟสว่าง บานแรกก็เป็นห้องของลี่โจวซานแล้ว
ห้องมีสองห้องนอนแบบธรรมดาๆ เฟอร์นิเจอร์เรียบง่าย เปิดโคมไฟส่องสว่างไว้หนึ่งดวง โต๊ะอาหารอยู่ติดผนัง ลี่โจวซานนั่งอยู่ตรงนั้นหันหลังให้ประตู ภายในห้องเงียบเป็นพิเศษ โทรทัศน์ปิดอยู่ เขาก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่คนเดียว
เมื่อมองจากบานหน้าต่างก็เหมือนกับมองเฟรมภาพภาพหนึ่งที่เต็มไปด้วยความทรงจำเก่าๆ แสงไฟในยามค่ำคืนทำให้ดูอ้างว้างมากยิ่งขึ้น
ลี่โจวซานเกิดสำลักซุปก๋วยเตี๋ยว จึงใช้มือหนึ่งปิดปากไออย่างแรง อีกมือหนึ่งเอื้อมไปคว้ากระดาษทิชชูที่อยู่ข้างๆ ยังมียาแก้หวัดไม่กี่กล่องวางอยู่ด้านข้างกระดาษทิชชู มือของเขาคว้าไม่แม่นจึงชนแก้วน้ำจนล้มหล่นพื้นแตกดังเพล้ง แก้วแตกเป็นชิ้นๆ กระจายเป็นเสี่ยงๆ
ลี่โจวซานขมวดคิ้วพลางก่นด่าเสียงเบาๆ หลังจากนั้นก็ก้มลงกวาดทำความสะอาดอย่างยากเย็น
อิ๋งจิ่งรีบหลบไปข้างหลังผนังอย่างรวดเร็ว เขายืนตรงยันกับฝาผนัง
กระแสลมระลอกหนึ่งพัดผ่านใบหน้า จมูก และดวงตาของเขาขานรับกับค่ำคืนอันเงียบเหงาในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
อิ๋งจิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ในอก เขาหันหลังกลับแล้วลงบันไดไป