บทที่ 6
เมื่อถึงเวลา การประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
ฝ่ายนายทุนนั่งประจำที่แถวแรก หลังกล่าวคำพูดสั้นๆ แล้วก็เริ่มเปิดฉาก ตัวแทนโครงการกล่าวปาฐกถาตามลำดับ อิ๋งจิ่งได้ลำดับที่สองนับจากหลัง ฉีอวี้พูดด้วยความสนใจเล็กน้อย
“สาขาออกแบบได้ลำดับที่สาม”
สมเป็นลูกรักตัวจริงของมหาวิทยาลัยเลย
ครั้นดูได้สองรอบ อิ๋งจิ่งก็เข้าใจแล้วว่าผู้ที่เก่งกาจมีศักยภาพทั้งหมดล้วนมุ่งตะลุยไปข้างหน้าลูกเดียว อย่างพี่ชายคนที่พูดกับเขาเมื่อครู่นี้ อิ๋งจิ่งแอบค้นไป่ตู้ดูบริษัทของเขา ดูท่าทางเก่งใช้ได้เชียวแหละ
บรรดาผู้บรรยายโครงการเหล่านี้แต่ละคนเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการทั้งนั้น ทักษะในการพูดดีเลิศ บรรยากาศในงานช่างงดงามมาก
คนเราก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนแรกเริ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แสดงจุดเด่นและข้อดีทั้งหมดของตนเองออกมาเสียใหญ่โต ทำให้เกิดความภาคภูมิใจเหมือนเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่* จนเมื่อได้หลอมรวมเข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้วจึงพบว่านกกระเรียนในฝูงไก่เป็นเรื่องจริง แต่เหมือนกับว่าตนเองจะไม่ใช่นกกระเรียน…ตัวนั้น
อิ๋งจิ่งประหม่านิดหน่อย
คนพวกนี้มันยังไงกันเนี่ย ช่างจ้อกันเหลือเกิน พูดเก่งกันเกินไปแล้วมั้ง!
ถึงตาของสาขาเอกการออกแบบอากาศยานผู้ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน ผู้บรรยายนำอิ๋งจิ่งก็รู้จัก เป็นประธานสภานักศึกษาควบตำแหน่งคนขี้ประจบตัวท็อปของรองอธิการบดี อ้อ ไม่สิ คนสนิทเบอร์หนึ่งต่างหาก เขาสวมชุดสไตล์ซุนยัตเซ็นที่ไม่รู้ว่าไปได้มาจากไหน ใส่แว่นกรอบดำ แล้วก็เอ่ยปากพูด
“อันดับแรก ได้มาอยู่ร่วมในสถานที่เดียวกันกับทุกท่านซึ่งเป็นบุคคลที่โดดเด่นในแวดวงธุรกิจ ช่างเป็นเกียรติของผมจริงๆ ครับ อันดับต่อมา ผมอยากขอบคุณมหาวิทยาลัยของผมที่มอบโอกาสสำหรับการแนะนำตัวนักศึกษาให้กับบริษัทในครั้งนี้ให้ผม”
อิ๋งจิ่งขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเตรียมความพร้อมของเขาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างราบรื่น และภายใต้การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอากาศยานในช่วงไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นเทรนด์ที่นิยมกันแพร่หลาย อากาศยานไร้คนขับได้นำมาประยุกต์ใช้กับขอบเขตสาขางานที่หลากหลาย บวกกับการสนับสนุนอย่างแข็งขันในระดับประเทศ เทคโนโลยีจึงค่อยๆ เติบโตสุกงอมไปทีละขั้น มองเห็นโอกาสภายภาคหน้าในทางธุรกิจ
หากสังเกตดูสักนิดจะเห็นว่าฝ่ายนายทุนที่อยู่แถวหน้าล้วนตั้งใจฟังกันอย่างรอบคอบและจริงจัง
สายตาของอิ๋งจิ่งเหลือบไปทางด้านขวา
ชูหนิงนั่งตัวตรง กำลังก้มหน้าพลิกเปิดดูเอกสารข้อมูลผ่านๆ ดูเหมือนจะอ่านค้นข้อมูลบางอย่าง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองผู้พูด ส่วนโค้งตรงใบหน้าด้านข้างของเธอสวยจริงๆ ระหว่างจุดเหรินจง* และริมฝีปากมีส่วนเว้าเล็กน้อย
สีปากสวยจังเลย
เสียงพูดบนเวทีกลายเป็นเสียงหึ่งๆ ดังอื้ออึง จากนั้นอิ๋งจิ่งก็กลับมารู้ตัวอีกครั้ง รู้สึกใจวาบหวิวกับความฟุ้งซ่านของตัวเองเมื่อครู่นี้อย่างบอกไม่ถูก
“นายตื่นเต้นเหรอ” จู่ๆ ฉีอวี้ก็ถามขึ้นมา
“หะ…หา? ตื่นเต้น อ้อ ไม่ได้ตื่นเต้น” น้ำเสียงอิ๋งจิ่งละล่ำละลัก เหมือนหัวขโมยที่ถูกจับได้ว่าทำเรื่องเลวร้าย
“…”
ไม่นานก็ถึงตาพวกเขาแล้ว
อิ๋งจิ่งเป็นผู้บรรยายหลัก ส่วนฉีอวี้ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมมือ
เขาดึงชายเสื้อด้านล่างของชุดสูทเล็กน้อย แอบสูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงสาวเท้าก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางสายตาของสาธารณชนที่มองดูอยู่
ชูหนิงวางหนังสือโครงการในมือลง ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแล้วก็มองเขา
อิ๋งจิ่งในตอนนี้เตรียมการมาอย่างดีพร้อมและมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็มีทั้งชื่อเสียงมหาวิทยาลัยที่คอยช่วยส่งเสริมสนับสนุน และด้วยการหนุนนำของคนวัยหนุ่ม พลังความกล้าหาญพลุ่งพล่านแถมพละกำลังยังกระปรี้กระเปร่าโหมกระหน่ำมาอย่างเต็มที่ ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ เขามั่นใจเต็มเปี่ยมกับโครงการของตัวเอง
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยการบินฯ C ผมชื่ออิ๋งจิ่งครับ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอันล้ำค่ามารับฟังแนวคิดการออกแบบของผมนะครับ”
ไม่มีวาจาประจบประแจงและเจตนาป้อยอเอาใจแต่อย่างใด การเริ่มเปิดฉากเช่นนี้ทั้งเปิดเผยและรวบรัด
ชูหนิงชะงัก อิ๋งจิ่ง? เป็นชื่อที่แบบว่าเบ่งบานเปิดรับขนาดนี้เลยเหรอ