เธอพลิกกลับไปเปิดดูหน้าปกของหนังสือโครงการ อ๋อ ที่แท้ก็คำว่าจิ่งที่แปลว่าความแจ่มจรัสของหยก
“วันนี้สิ่งที่ผมจะมาแนะนำแก่ทุกท่านคือความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีการจำลองเสมือนจริงด้านเครื่องยนต์อากาศยานครับ” เสียงของเด็กวัยรุ่นดังชัดเจนและไพเราะ ไม่มีเสียงเอ๋อร์* ที่เป็นสำเนียงพูดในแบบปักกิ่ง แล้วก็ไม่มีการพูดทำนองไล่เสียงสูงต่ำในลักษณะเชิงเทคนิคแต่อย่างใด เขาพูดจาชัดถ้อยชัดคำ คำพูดที่ออกมาดังก้องกังวาน
ภาพสไลด์เปลี่ยนไปทีละภาพๆ การอธิบายแบบมืออาชีพที่ละเอียดแม่นยำก็เริ่มลงรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ไปทีละลำดับ
อิ๋งจิ่งยิ่งพูดก็ยิ่งออกรส จากตอนแรกสุดที่กังวลจนผ่อนคลาย กระทั่งถึงตอนนี้ที่ตื่นเต้นจนแทบจะระเบิด เขาก็ยังพูดจาอย่างฉะฉาน ออกจะมีความรู้สึกชื่นมื่นในแบบที่ว่า ‘ยายอิ๋งขายแตง ขายเองชมเอง’**
กระทั่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นของเขากวาดมองมาที่ความเคลื่อนไหวของชูหนิง
ตอนแรกชูหนิงยังค่อนข้างที่จะสนใจฟัง สามนาทีต่อมาสีหน้าเรียบเฉย พอห้านาทีต่อมาการแสดงออกดูไม่ได้จดจ่ออยู่ที่การฟังอีกแล้ว สุดท้ายเธอไม่แม้แต่จะมองดู และปิดหนังสือโครงการของพวกเขาทันที
ราวกับเป็นการพิพากษาครั้งสุดท้ายตอนปิดฝาโลงศพว่ายังคงเป็นพวกประเภทที่ไม่ดี ใช้ไม่ได้อยู่นั่นเอง
อิ๋งจิ่งรู้สึกว่าวินาทีก่อนตนเองยังมีไฟอยู่ในจุดเดือดอยู่เลย พอมาวินาทีนี้ก็ถอดใจหมดไฟเสียแล้ว
โชคดีที่มาถึงช่วงท้ายแล้ว ขาดความสมดุลทางสภาพอารมณ์นิดหน่อยก็คงไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากนัก ครั้นเขาพูดจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นที่ด้านล่างเวที หร็อมแหร็มอยู่ไม่กี่วินาที พอจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปรบมือแบบสุภาพและเป็นมิตร
อิ๋งจิ่งเดินเคว้งลงจากเวที ฉีอวี้กระซิบเสียงเตือนจากข้างหลัง “นายเดินมือกับขาไปทางเดียวกันแน่ะ”
“…”
แต่เดิมจิตใจที่กระสับกระส่ายอยู่แล้วก็ยิ่งดูงุ่นง่านเข้าไปอีก เขากลับมานั่งที่ตำแหน่งเดิม มารู้ตัวอีกทีเหงื่อก็ท่วมทั้งหลังแล้ว
หลังจากรอให้ทีมโครงการกล่าวคำพูดทั้งหมดเสร็จสิ้นก็จะได้รับคำตอบของรอบแรกภายในเวลาครึ่งชั่วโมง อันที่จริงพอเลิกประชุมแล้วจะมีฝ่ายนายทุนดำเนินการติดต่อขั้นต้นกับโครงการที่พวกเขาให้ความสนใจ ซึ่งภายในห้านาทีก็มีห้าบริษัทที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อิ๋งจิ่งนั่งอยู่ตรงที่เดิม กำกางเกงสูทไว้ด้วยความกังวล
“ขอบคุณมากเลยครับ!!” ไม่ไกลออกไปมีเสียงโห่ร้องดีใจของวัยรุ่นดังแว่วมา เป็นกลุ่มของสาขาเอกการออกแบบอากาศยานที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันนั่นเอง
ฉีอวี้พูดว่า “พวกเขาได้รับเลือกแล้ว”
อิ๋งจิ่งยังมีความหวังในใจ “พวกเราก็คงได้แหละ รออีกหน่อย อย่ารีบร้อน!”
แบบนี้ยิ่งเหมือนเป็นการพูดกับตัวเองเลย
สามสิบนาทีต่อมา สถานที่ประชุมว่างเปล่าแล้ว
ฉีอวี้ทอดถอนใจ พูดกับอิ๋งจิ่งที่ไม่ขยับเขยื้อนตัวเลย “เราไปกันเถอะ”
อิ๋งจิ่งเอียงหน้าหันไปถามว่า “เป็นเพราะฉันพูดจาผิดพลาดเหรอ”
ฉีอวี้เอ่ย “ไม่หรอก นายพูดได้ดีมาก”
“งั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกล่ะ”
ฉีอวี้อ้าปากจะพูดอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีคำพูดเปล่งออกมาสักคำเดียว
จู่ๆ อิ๋งจิ่งก็ลุกขึ้นยืน
“เฮ้! นายจะไปไหน!” ฉีอวี้ตกใจยกใหญ่ ไม่สามารถไล่ตามหลังเพื่อนที่เผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็วได้ทัน
ห้องโถงเล็กที่อยู่ภายนอกสถานที่ประชุมยังมีผู้คนอยู่อีกเยอะมาก มีทั้งฝ่ายนายทุน มีบริษัทที่ถูกเลือก กำลังพูดจาทักทายกันอย่างสุภาพ หรือสื่อสารแลกเปลี่ยนความร่วมมือกันอยู่ อิ๋งจิ่งค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง แล้วอยู่ๆ ก็เกิดอาการดื้อดึงขึ้นมา คว้าเอาคนดวงซวยคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ มาถาม
“สวัสดีครับ เมื่อสักครู่นี้ผมเป็นคนทำรายงานการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแบบจำลองเสมือนจริงเองครับ ผมชื่ออิ๋งจิ่ง ขอโทษอย่างยิ่งนะครับที่รบกวนคุณ”
ทันทีที่เปล่งคำพูดนี้ ทุกสายตาล้วนมองมาทางเขา
เหตุผลที่เลือกคนดวงซวยคนนี้เพราะอิ๋งจิ่งจำได้ว่าเขาเป็นคนที่ดูท่าทางค่อนข้างมีประสบการณ์และมีอำนาจในการพูดท่ามกลางบรรดาเหล่านายทุนทั้งหมด
อิ๋งจิ่งถามตรงๆ แต่เพราะความตรงไปตรงมาจึงกลับกลายเป็นดูเหมือนจริงใจและจริงจัง
“ผมอยากขอคำปรึกษาจากคุณครับ คือว่าการพูดบรรยายโครงการของผมมีส่วนที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนหรือไม่ครับ”
ชายชราตะลึงงัน หลังจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี
หลังจากคนที่อยู่รอบๆ ได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกเริงร่าขึ้นมากันหมด
บางทีรอยยิ้มอาจจะดูเจตนาดี แต่ในขณะนี้อิ๋งจิ่งมองดูแล้วเหมือนลูกบอลปุกปุยที่เต็มไปด้วยหนามแหลมซึ่งแต่ละอันจ้องจะทิ่มแทงใส่เขาด้วยเจตนาชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องขำๆ
เขานึกในใจ เหอะ น่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบเส้นสายกันทั้งหมดแหละ
ก็เหมือนกับที่มหาวิทยาลัยลำเอียงเข้าข้างสาขาเอกการออกแบบอากาศยานมาตลอดไง!