Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ
ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ บทที่ 6
พอถึงมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็มีท่าทีน่าเวทนาอยู่สักหน่อย
ทางฝ่ายสาขาเอกการออกแบบอากาศยานนั้นเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
“ฉันบอกแต่แรกแล้วไง พวกเขาไม่ไหวหรอก ตอนออกเดินทางยังจะมาขึงผ้าโฆษณาป่าวประกาศ เป็นเด็กอ่อนหัดไหมล่ะ”
“แบบว่าต้องมาร่วมผสมโรงให้ได้ มหาวิทยาลัยก็แถลงออกมาแล้ว แบบนี้ไม่เสียเวลาหรือไง”
“แถมยังมีกลุ่มแฟนคลับอีก บ้าเอ๊ย เหมือนกับกลุ่มลัทธิเลยว่ะ”
หลังจากอิ๋งจิ่งกลับมาถึงห้องพักแล้วก็ตรงไปนอนแผ่ร่างตายซากบนเตียงทันที ในวันต่อมาฉีอวี้เรียกเขาให้ไปเข้าเรียน เขาดึงผ้าห่มคลุมปิดหัวไว้ พลิกตัวหันกลับไปกัดฟันนอนต่อ
เผอิญว่าคาบเรียนนี้เป็นคาบของลี่โจวซานพอดี หลังจากเลิกเรียนเขาก็เรียกฉีอวี้ไว้ “ไอ้เจ้าหนูนั่นล่ะ”
ฉีอวี้เกาหัวแกรกๆ ตัวสั่นงันงก “ปราณชีวิตได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังบำเพ็ญเพียรฝึกความสงบเสงี่ยมอยู่ครับ”
ลี่โจวซานขึ้นเสียงสูง “นายบอกเขาเลยนะ ขืนตอนบ่ายโดดเรียนอีก เทอมนี้อย่าคิดว่าจะผ่าน!”
ฉีอวี้ทำตัวเป็นกระบอกเสียงอย่างซื่อๆ ตามระเบียบ
อิ๋งจิ่งที่ยังนอนตายซากอยู่บนเตียงจู่ๆ ก็กระตุกฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาเด้งผลุงลุกนั่งเหมือนสปริง ยันตัวกับหัวยุ่งกระเซิงเหมือนรังนกขึ้นมา
“มีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันสอบผ่าน! โครงการนี้เขาเป็นคนมอบให้เอง นี่พวกเราก็ทำงานให้เขาหรอก! แล้วคนที่ขายขี้หน้าก็ไม่ใช่เขาด้วย!”
“ชู่วๆๆ นายเบาเสียงหน่อยสิ” ฉีอวี้คิดจะเอามือปิดปากเขาไว้ “ตอนที่ฉันเพิ่งเข้ามา เห็นเจ้ากรอบแว่นดำเล่นอยู่ที่ห้องที่อยู่ติดกันเนี่ย”
เจ้ากรอบแว่นดำชื่อเต็มคือหลัวจยา เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนที่ได้รับเลือกโครงการอากาศยานเมื่อวานนั่นเอง
คำพูดนี้แทนที่จะโดนเจ้ากรอบแว่นดำได้ยินเข้าเสียก่อน แต่กลายเป็นว่าถูกลี่โจวซานที่อยู่ตรงประตูทางเข้าได้ยินเข้าเสียแล้ว
ฉีอวี้ใจเต้นระส่ำระสายแทบบ้า “ศาสตราจารย์ลี่”
อิ๋งจิ่งพลันผงะ ตามมาด้วยการแสดงออกแบบไร้ซึ่งความเกรงกลัวด้วยท่าทีแบบว่า ‘ที่ฉันพูดเป็นความจริง’
ทว่าลี่โจวซาน…ไม่มีการตำหนิ ไม่มีการก่นด่า ไม่มีแม้กระทั่งคำพูดสักคำเดียว
สันหลังของเขาโค้งงออย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากหมกตัวอยู่ในห้องปฏิบัติการมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเขาจะตัวสูง แต่หลังที่ตรงแหน็วที่ว่านั้นหายไปนานแล้ว
ลี่โจวซานมองดูอิ๋งจิ่งครู่หนึ่ง สายตาที่มองมานี้มีความหมายไม่ชัดเจนนัก ทว่าอิ๋งจิ่งกลับมองเห็นถึงความเจ็บจี๊ดเหมือนกับถูกทิ่มแทงใจ
เขาหันหน้าไปทางอื่น จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หัวรั้นไม่มีแผ่วลงเลยสักนิด
ลี่โจวซานเดินจากไปแล้ว
ฉีอวี้รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง “เฮ้ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก ไม่ได้รับเลือกก็เป็นเรื่องปกติมากนี่นา คำพูดของบอสสาวคนนั้นก็ค่อนข้างมีเหตุผลมากเลยนะ”
เป็นเพราะว่ามีเหตุผลไงล่ะ ถึงจะเป็นความจริงแต่ก็สิ้นหวังชะมัด
“นายจะเข้าใจอะไร” อิ๋งจิ่งทิ้งคำพูดไว้ เมื่อล้างหน้าและบ้วนปากแบบลวกๆ แล้วก็สวมเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปข้างนอก
แต่เจ้ากรอบแว่นดำที่อยู่ห้องข้างๆ ก็เดินออกมาพอดี
ทั้งสองคนประจันหน้ากัน
อิ๋งจิ่งมองตรงไปไม่มีล่อกแล่กทางอื่น เชิดคอเรียวยาวขึ้น เจ้ากรอบแว่นดำเองก็ทำตัวเป็นเด็ก จงใจตะโกนพูดกับเพื่อนร่วมชั้น
“ความจริงฉันก็ไม่ได้ทุ่มเวลาอะไรมาก ห้องปฏิบัติการได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษจากสาขาอยู่แล้ว ฉันใช้งานได้สะดวกสบาย ไม่ได้เอาเวลาพักผ่อนไปเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะอดหลับอดนอนสามสี่คืนหรอก”
อิ๋งจิ่งหยุดฝีเท้า ซักถามด้วยเสียงเย็นๆ “นายพูดถึงใครกัน”
หลัวจยาเอามือลูบคาง ทำเป็นยียวน “ใครร้อนตัวขึ้นมาก็คนนั้นแหละ”
เสือสองตัวอยู่ร่วมเขาลูกเดียวกันไม่ได้ ยิ่งมีความผยองในแบบวัยรุ่นก็ยิ่งเป็นการเติมน้ำมันในกองเพลิงเข้าไปอีก โดยพื้นฐานแล้วคงต้องจบเห่
อิ๋งจิ่งเกิดอาการโทสะเดือดพุ่งพรวดขึ้นมาทันที เขาใช้มือคว้าจับคอเสื้อของหลัวจยาไว้
“พูดจาภาษาคนได้ไหมวะ!”
หลัวจยาคนนี้มีหน้าตาแบบผู้ชายเนิร์ดทั่วไป ส่วนสูงคือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแบบกลางๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าอิ๋งจิ่งที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบแล้ว ไม่มีข้อได้เปรียบเลยสักนิด
เขาถูกรัดจนสะดุดล้มลงไปกับพื้น หลังจากลุกขึ้นได้ก็เหวี่ยงหมัดออกไปต่อยคางอิ๋งจิ่งจนได้รับบาดเจ็บ
พอความเดือดดาลคั่งแค้นครอบงำก็ทำเอาขาดสติกันไปหมด ทั้งสองคนสู้ตะลุมบอนกันทันที เดี๋ยวก็ร้องเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เดี๋ยวก็เป็นเสียงอื้ออึงของกำปั้น ทั้งหมดล้วนลงมือกันอย่างเต็มเหนี่ยว
เมื่ออิ๋งจิ่งถูกลากตัวออกมา เขาเดินขากะเผลก ส่วนหลัวจยา…ล้มอยู่บนพื้นแล้ว คนราวสามถึงห้าคนพยุงไว้ก็ยังลุกไม่ขึ้น
“ถ้าพูดไม่ได้ก็หุบปากซะ” อิ๋งจิ่งหอบหายใจจนหน้าอกกระเพื่อม สะบัดข้อศอกไปข้างหลัง ผลักฉีอวี้ที่กำลังขวางเขาอยู่ออกไปแล้วชี้ไปที่หลัวจยา ในดวงตามีความโกรธแค้นชิงชังอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย “แกฟังฉันไว้ให้ดี วันนี้ฉันอิ๋งจิ่งแพ้แล้ว แต่ว่าไม่ได้แพ้ให้แก!”
การทะเลาะวิวาทกันระดับนี้แถมอยู่ภายในสถานศึกษาแห่งนี้ซึ่งมีบรรยากาศเชิงวิชาการเข้มข้นมาก สามารถอธิบายโดยใช้คำว่าเป็นคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ได้เลย กลายเป็นประเด็นหัวข้อสนทนาของทุกหอนอนอยู่สามวัน
“พระเจ้า หลัวจยาถูกต่อยจนร้องโอดโอย อิ๋งจิ่งต่อยเก่งชะมัดเลย”
“นี่มันจะมีอะไรแปลกกันล่ะ ฉันได้ยินว่าพ่อเขาเป็นแม่ทัพภาคนะ มาจากครอบครัวนายทหาร สภาพร่างกายต้องผ่านด่านมาแล้วแหละ”
“อุ๊ย แหม ทำไมเธอพูดจาทะแม่งๆ ออกมาเนี่ย ออกแนวลามกหน่อยๆ แฮะ”
“ใช่ที่ไหน! เธอคิดไม่ดีเองชัดๆ”
“แต่ว่ารูปร่างอิ๋งจิ่งดีมากจริงๆ นะ ฮ่าๆๆๆ”
คำพูดซุบซิบระหว่างผู้หญิงช่างครึกครื้นมีสีสัน แล้วก็วกกลับมาที่ประเด็นหลักอย่างรวดเร็ว
“พวกเธอรู้กันไหม ปีนั้นผลคะแนนของอิ๋งจิ่งดีมากเชียวล่ะ ตัวเลือกแรกที่กรอกคือมหาวิทยาลัยชิงหวา*”
“แล้วทำไมมาเรียนที่มหาวิทยาลัยการบินฯ C ล่ะ”
“พลาดในการสอบเกาเข่า** มั้ง น่าเสียดายมาก ขาดแค่ไม่กี่คะแนนเอง”
ลมพัดใบไม้ไหวเบาๆ พัดพาให้เกิดความสงบเงียบ
“…อา”
“เฮ้อ…”
* นกกระเรียนในฝูงไก่ เปรียบเปรยถึงคนที่มีความสามารถ หรือเป็นที่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
* จุดเหรินจง คือจุดสำหรับฝังเข็มหรือกระตุ้นเลือดลม เป็นจุดที่อยู่ระหว่างปากกับจมูก ใช้บำบัดรักษากรณีเป็นลมหมดสติในภาวะฉุกเฉินด้วยการกดจุดตรงตำแหน่งนี้
* เสียงเอ๋อร์ หรือเอ๋อร์ฮว่าอิน (儿化音) คือการออกเสียงโดยม้วนลิ้นให้ปลายลิ้นแตะที่เพดานปาก และคนปักกิ่งมักจะพูดลงท้ายประโยคด้วยคำว่า ‘เอ๋อร์’
** มาจากนิทานพื้นบ้าน‘ยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง’ มีชายคนหนึ่งชื่อหวังพัวเป็นชาวซีอวี้ปลูกแตงหาเลี้ยงชีพ เนื่องจากแตงของหวังพัวรูปร่างลักษณะไม่น่าดู จึงไม่มีใครกล้าซื้อ เขาสาธยายว่าแตงของตัวเองหวานกว่าแตงโมทั่วไปสิบเท่า หวานเหมือนน้ำผึ้ง ในตอนแรกแจกให้ชิมก็ยังไม่มีใครกล้าชิม แต่เมื่อมีคนกล้าชิมหนึ่งคนก็เริ่มมีคนบอกต่อไปเรื่อยๆ จนขายดี แตงของหวังพัวก็คือแคนตาลูปในปัจจุบัน นอกจากนี้คำว่า ‘พัว’ พ้องเสียงกับคำที่แปลว่า ‘ยาย’ และหวังพัวชอบพูดมากและจู้จี้จุกจิกเหมือนยายแก่ คนจึงตั้งฉายาให้ว่า ‘ยายหวัง’
* โบอิ้ง 777 เครื่องบินเชิงพาณิชย์แบบลำตัวกว้าง ใช้เครื่องยนต์สองตัว มีพิสัยบินระยะไกล การใช้งานปลอดภัยและเสถียร เครื่องพิสัยไกล มีขนาดใหญ่จุคนได้มาก
* ภววิสัย (Objectivity) หรือปรวิสัย คือสิ่งที่มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริง เงื่อนไขที่เป็นความจริง ไม่เกี่ยวกับความคิดหรือความรู้สึก
* มหาวิทยาลัยชิงหวา เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของจีน ถือเป็นสถาบันการศึกษาที่ติดระดับท็อปโลก ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง มีชื่อเสียงเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
** เกาเข่า คือการสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัยของจีนแผ่นดินใหญ่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.