ยามค่ำคืนในย่านเวิลด์เทรดคึกคักจอแจเหมือนเป็นตอนกลางวัน
ร้านเหล้า C.V เพิ่งเริ่มเปิดกิจการ สามารถตั้งร้านที่นี่ได้แสดงว่าเป็นคนที่มีความสามารถมาก ผู้ที่มายกยอปอปั้นประจบสอพลอเจ้าของร้านก็ย่อมมีมากเช่นกัน
ชูหนิงคุยธุระตอนบ่ายจบและกินอาหารมื้อพบปะสังสรรค์กับเว่ยฉี่หลินแห่งฉี่หมิงอินดัสทรีเสร็จ แต่บังเอิญว่าเจ้าของร้านเหล้านี้เป็นเพื่อนของพวกเขาทั้งสองคนด้วย และเป็นคนมีชื่อเล่นที่เบียวมาก ชื่อว่าเสี่ยวลิ่วเหยีย*
แม้จะชื่อเหยีย แต่ก็ไม่ได้แก่เลยสักนิดเดียว อายุน้อยกว่าชูหนิงไม่กี่ปี คลุกคลีปะปนกับทั้งคนดีคนเลวในแวดวงสังคมไปทั่ว
แล้วชูหนิงก็เรียกกวนอวี้มาอีก เสี่ยวลิ่วทำงานละเอียด เตรียมห้องรับรองที่ดีที่สุดสองห้องไว้ให้พวกเขา พวกผู้ชายเล่นไพ่กัน ส่วนผู้หญิงพากันดื่มเหล้า ร้องเพลงอยู่ทางฝั่งนี้ กวนอวี้ลากชูหนิงกระโดดโลดเต้นรอบพื้นที่ ดนตรีคึกคักบรรเลง ศีรษะผู้คนขวักไขว่ไปมาเหมือนดอกไม้ตูมแต่ละช่อที่ผลิหน่อขึ้นมาในยามฤดูใบไม้ผลิ ทั้งหลงระเริงและปล่อยตัวปล่อยใจกันเต็มที่
กวนอวี้คึกสุดๆ “ยังไงในประเทศก็ดีกว่า! หนุ่มหล่อเยอะจริง!”
เงาแสงสลับภาพเลือนราง ชูหนิงยื่นมือออกไปผลักกวนอวี้ให้เซถอยไปหลายก้าว ชนเข้ากับเด็กหนุ่มแนวพั้งก์ที่สักแขนลายกิเลนเข้าพอดี
กวนอวี้ส่งเสียงบ่นครวญ แล้วจึงหันไปยิ้มให้เขาพร้อมกับพูดว่า “ขอโทษนะคะ”
ครั้นสบตากับเด็กหนุ่ม หลังจากมองดูจนแน่ใจแล้ว ทั้งสองคนก็กอดกันอย่างเป็นธรรมชาติ
กวนอวี้คล้องคอของเขา ส่วนเด็กหนุ่มก็โอบรอบเอวของเธอ ดนตรีเปลี่ยนเป็นอีกท่วงทำนองที่ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น เรือนร่างทั้งสองคนกอดแนบชิด เกยก่ายกัน ช่างเป็นภาพที่ชวนมอง
ส่วนผู้ชายไม่กี่คนที่อยู่ตรงกลางก็อยากจะเข้ามาร่วมแจมกับชูหนิง ทันทีที่เอื้อมมือเข้ามา ชูหนิงก็ก้าวหลบอย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงออกไปอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดทั้งสิ้น
กระโดดโลดเต้นได้ไม่กี่นาทีเธอก็รู้สึกเบื่อ จึงกลับไปที่ห้องรับรองเพียงลำพัง
ยังมีหุ้นส่วนคนอื่นอยู่ในห้อง เสี่ยวลิ่วเห็นชูหนิงเข้ามาก็พูดขึ้น “พี่หนิง สุดเหวี่ยงหรือยัง”
ชูหนิงชูนิ้วโป้งให้เขา
เสี่ยวลิ่วแฮปปี้มาก จากนั้นก็พูดจาลึกลับน่าสงสัยว่า “ยังมีของดีอยู่ด้านหลังอีกนะ”
เขาต่อสายโทรศัพท์แล้วพูด “เข้ามาเลย”
พอประตูเปิดก็มีคนเดินเข้ามาเป็นสาย
“อุ๊ย!” พวกผู้หญิงด้วยกันส่งเสียงอุทานอย่างตกใจปนตื่นเต้น
หนุ่มวัยรุ่นกว่าสิบคนยืนเรียงเป็นแถว มือสองข้างไพล่หลัง แต่ละคนตัวสูงร้อยแปดสิบห้า ส่วนสูงเพอร์เฟ็กต์ มีทั้งประเภทให้อารมณ์แบบน้องชายข้างบ้านที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้านดูดี มีทั้งประเภทที่เป็นหนุ่มโหดสุดล่ำฮอร์โมนชายพลุ่งพล่านทั่วร่าง แถมยังมีประเภทที่เนี้ยบรักษามาดสวมแว่นตาไร้กรอบและใส่ชุดสูทด้วย
เสี่ยวลิ่วชี้นิ้วบอก “ตั้งใจหน่อยล่ะ ช่วยปลอบให้สาวสวยทั้งหลายมีความสุขกันด้วย”
ล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นที่กล้าเล่นด้วยกันทั้งสิ้น บรรดาสาวๆ ทั้งป่าวประกาศและแสดงความกล้า เจตนาเน้นคำพูดแต่ละคำเป็นพิเศษ
“มีความสุขยังไงก็ได้ใช่ไหม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้อง ตบโต๊ะกันดังสนั่นลั่นฟ้าทันที
ชูหนิงนั่งอยู่ตรงมุมโซฟา เป็นคนที่ปลีกวิเวกอยู่นอกวงแห่งความครึกครื้นนั้น
“พี่หนิง” เสี่ยวลิ่วเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชูหนิงพูดแหย่ “เจ้าเด็กอ่อนหัด”
เสี่ยวลิ่วถูกเธอแซะจนชิน จึงไม่ได้ใส่ใจที่ถูกพูดแหย่เลยสักนิด เขาเชิดคางขึ้นชี้ไปทางผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยท่าทีร้ายๆ
“ผมวัดตัวหาไว้ให้พี่แล้วล่ะ”
นั่นคือคนประเภทที่รักษามาดสวมแว่นตาไร้กรอบนั่นเอง
“เหมือนไหม” เสี่ยวลิ่วหมายความถึงบางอย่าง
“เหมือนไหมอะไร” ชูหนิงโน้มตัวไปข้างหน้า จิ้มกีวี่ที่อยู่ในถาดขึ้นมา
“รักแรกของพี่ไง”
ชูหนิงโดนคำพูดนี้กระตุ้นอารมณ์เข้าให้แล้ว กัดคำเดียวก็ถูกปลายลิ้นเข้าอย่างจัง เจ็บจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เสี่ยวลิ่วเลิกคิ้วหนา “ผมรู้นะว่าพี่ชอบแบบนี้มาตลอด เป็นไงบ้างๆ”
ชูหนิงกลั้นความเจ็บนั้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ก็ไม่เท่าไหร่”
เสี่ยวลิ่วโบกมือให้กับทางนั้น หนุ่มรักษามาดก็เดินถือแก้วไวน์มาทางนี้
“พี่หนิง มีความสุขหน่อยน่า” เสี่ยวลิ่วลูบๆ ที่หลังมือของเธอ “สองปีมานี้ผมไม่เคยเห็นพี่จะคบหามีแฟนอะไรกับใครเลย”
เสี่ยวลิ่วเดินจากไป หนุ่มรักษามาดนั่งลงใกล้กับชูหนิง บนตัวเขามีกลิ่นน้ำหอมจางๆ
“ดื่มไวน์ไหมครับ” เสียงของเขาเหมือนเสียงทุ้มต่ำในรายการวิทยุตอนเที่ยงคืน
ชูหนิงขมวดคิ้วพลางรับแก้วมา
ชนแก้วกระทบกันแล้วเธอก็เงยหน้ายกดื่มหมดในอึกเดียว
หนุ่มรักษามาดเป็นคนที่เอาใจใส่ เขายื่นกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งให้ ชูหนิงไม่ได้รับ แต่เอาตัวพิงพนักโซฟาอย่างเกียจคร้าน จึงปรากฏส่วนโค้งสวยงามตรงหน้าอก ท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้คนคิดจินตนาการไปไกล
ชูหนิงมองเขา เงาแสงจากโคมไฟด้านบนสะท้อนในดวงตา อมยิ้มตรงมุมปาก
ชายหนุ่มพับเก็บกระดาษทิชชูแล้วก็เอนตัวเข้าไปใกล้ๆ คิดจะช่วยเธอเช็ดคราบไวน์ตรงริมฝีปาก แต่ชูหนิงเบี่ยงตัวหลบออกในหนึ่งวินาทีก่อนที่เขาจะได้เช็ดให้
“หือ” ชายหนุ่มเปล่งเสียงกระเส่าออกมาคำหนึ่ง
ชูหนิงสะบัดกระโปรงลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป “คืนนี้ฉันไม่ต้องการ นายเลิกงานได้เลย”
ครั้นเดินออกมาจากห้องรับรอง กระแสคลื่นแห่งความเร่าร้อนก็ถั่งโถมออกมา
ชูหนิงถอนหายใจลึกๆ เจ้าเด็กบ้าเสี่ยวลิ่วนี่อายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี เด็กสมัยนี้เล่นสนุกกันถึงขนาดนี้แล้วเหรอ
เธอไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์พร้อมขอเบียร์หนึ่งแก้ว พอเขย่งปลายเท้าเบาๆ ร่างกายก็หมุนเป็นวงตามเก้าอี้หมุน พลันเหลือบไปมองด้านข้าง ชูหนิงก็เห็นเงาร่างคนที่คุ้นเคยนั่งอยู่ตรงล็อกที่นั่งทางขวา
นิ้วมือของเธอที่ถือแก้วเบียร์อยู่ชะงักนิดหน่อย ชิ เขาอีกแล้ว