เบียร์เป็นโหลวางอยู่บนโต๊ะกลมตัวเล็ก กู้จินจินสวมชุดยูนิฟอร์มพร้อมที่คาดผมหูกระต่ายบนศีรษะ ยิ้มหวานปานดอกไม้
“เบียร์ตัวนี้ดีมากนะ สินค้าใหม่ รสชาติสุดยอดมากเลยล่ะ” หลังจากนั้นก็มองดูรอบๆ พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ฉันลดราคาให้นายนะ”
อิ๋งจิ่งพยักหน้า “โอเค”
ฉีอวี้ไม่ค่อยวางใจนัก “ลดราคาแล้วยังแพงไหมเนี่ย”
กู้จินจินมองเขาด้วยสายตาแอบเตือนแล้วพูดจายิ้มแย้มกับอิ๋งจิ่งอีกครั้ง “ไม่แพงนะ กล่องนี้ลดราคาแล้วก็อยู่ที่สามร้อยห้าสิบหยวน”
ฉีอวี้หายใจเฮือก “นี่ยังไม่แพงอีกเหรอ”
สายตาของกู้จินจินที่มองแฟนหนุ่มราวกับจะกินคน
อิ๋งจิ่งรู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นไรเลย “ไม่เป็นไรๆ ไปทำงานเถอะ ก็แค่ไม่กี่ขวด พวกเราดื่มหมดน่า”
กู้จินจินจากไปโดยใช้เรื่องที่ว่าจะไปขายของเป็นข้ออ้าง
ฉีอวี้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะสแกนคิวอาร์โค้ดหน่อย ดูซิว่าบนเถาเป่า* ราคาเท่าไหร่”
ติ๊ง มีข้อความเข้ามาก่อน จากกู้จินจิน
‘มีเงินไม่รู้จักหากำไร นายโง่ชะมัด’
ทำเอาฉีอวี้ยุ่งยากใจเข้าไปใหญ่ อิ๋งจิ่งจึงพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น “นายจะเจ้ากี้เจ้าการทำไม คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง สนุกๆ กันเถอะ”
เขาพาฉีอวี้ไปที่ฟลอร์เต้น เต้นโยกสะบัดมั่วซั่วตามฝูงคน
สายตาของชูหนิงมองตามเขาอยู่ตลอดเวลา มองดูสักพักก็ได้ข้อสรุปว่าเจ้าเด็กคนนี้เต้นไม่เป็นเลย มือเท้าเคลื่อนไหวแข็งทื่อเหมือนอาบน้ำขัดขี้ไคล
ย่ำอยู่ท่ามกลางแสงหลอดไฟพร่าเลือนแบบนี้ ประสาทสัมผัสก็แตกฉานซ่านเซ็นเอาได้ง่ายๆ
ชูหนิงยื่นแขนสองข้างไปข้างหลัง วางข้อศอกค้ำอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ ยกขานั่งไขว่ห้าง รองเท้าส้นสูงกระดิกขึ้นลงเบาๆ ตามจังหวะ เจ้าเด็กคนนี้รูปร่างดีใช้ได้เลยแฮะ เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วนำมาคลุมไหล่บนเสื้อแขนสั้นสีขาวล้วน
เขาเต้นจนเหงื่อออก เนื้อผ้าแนบชิดกาย ใส่กางเกงยีน CK ที่เป็นรุ่นคลาสสิก ขับให้สัดส่วนขายาวสะโพกผายดูเด่นออกมา
ชูหนิงค่อยๆ ละสายตา ก้มหน้าจิบเบียร์แล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ข้างๆ อิ๋งจิ่งก็มีเด็กวัยรุ่นสองคนใส่เสื้อกล้าม ย้อมผมสีเหลืองเพิ่มขึ้นมา
โอ้ ทักษะการเต้นแค่นี้ยังจะกล้าไปท้าเต้นกับคนอื่นอีก? ขณะเต้นๆ โดดๆ อยู่ เด็กหนุ่มสองคนนั้นเหมือนกำลังพูดอะไรที่ข้างหูอิ๋งจิ่ง อิ๋งจิ่งพยักหน้าทำท่าจะตามพวกเขาออกไป
ถึงที่นี่จะไม่ได้เละเทะวุ่นวาย แต่ถ้าจะทำเรื่องไม่ดีก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
อิ๋งจิ่งหันหลังกลับและก้าวเท้าเดินออกไปแล้ว
ชูหนิงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงแล้วก็ลุกขึ้นยืน
เสียงเพลงดังกระหึ่มอยู่ข้างหู เมื่อแสงไฟเปลี่ยนสีสันอย่างรวดเร็วก็แยงตาจนแทบจะทำให้ตาบอด
อิ๋งจิ่งรู้สึกวิงเวียน เกิดอาการมองเห็นทางไม่ค่อยชัดในชั่วพริบตา พลันรู้สึกแขนตึงๆ เหมือนถูกคนดึงรั้งเอาไว้
เมื่อเขาหันกลับมา ใบหน้างดงามของชูหนิงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าใกล้แค่เอื้อม
“นี่คุณ??” อิ๋งจิ่งประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง
ชูหนิงพาเขาออกมาจากฟลอร์เต้นแล้วพาไปตรงล็อกที่นั่ง
เบียร์เป็นโหลที่อยู่บนโต๊ะยังไม่ได้เปิด ชูหนิงไปนั่งตรงโซฟาแล้วก็ไม่พูดอะไร
อิ๋งจิ่งไม่สามารถข่มใจตัวเองได้เหมือนกับชูหนิง เขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนว่า “คุณมาหาผมมีธุระเหรอครับ”
ชูหนิงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง จะตอบก็ไม่ตอบ จะปฏิเสธก็ไม่ปฏิเสธ
หรือจะบอกเขาในทำนองที่ว่ากลัวเขาจะถูกคนชักพาเข้าสู่หนทางที่ผิด เสพยาปล้นชิงทรัพย์อะไรแบบนั้นดี
นิสัยรอบคอบระมัดระวังที่ได้มาจากการทำงาน เมื่อเกิดขึ้นโดยไม่มีการแยกแยะสถานการณ์ก็ทำให้ปวดหัวอยู่เหมือนกัน ชูหนิงรู้สึกเสียใจภายหลังนิดหน่อย ดันไปสนใจเรื่องไร้สาระที่เดิมทีก็สามารถเมินๆ มันไปได้
แน่นอนว่าอิ๋งจิ่งก็ไม่อยากจะรับน้ำใจเธอเหมือนกัน
คราวก่อนคำพูดคำจาที่ไม่ไว้หน้ากันของชูหนิงไม่ได้เหลือความประทับใจที่ดีไว้ให้เลยจริงๆ
เขาเองก็มีทัศนคติไม่ดี จงใจถามว่า “คุณเปลี่ยนความคิด และอยากจะคุยเรื่องการร่วมงานกันแล้วเหรอ”
คำถามที่เหมือนคนแก่มากประสบการณ์และเนื้อหาที่จงใจถามกันอย่างโต้งๆ แบบไร้ชั้นเชิงนี้ ชูหนิงฟังแล้วก็ยิ้มขำๆ อิ๋งจิ่งละสายตาจากฟันขาวดั่งเปลือกหอยของเธอ พอโมโหแล้วก็หมดความสนใจอีก
ดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนไป ดีเจเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงคลาสสิกภาษาอังกฤษ
อิ๋งจิ่งพลันเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ทว่าชูหนิงได้ยินไม่ชัด “หือ? อะไรนะ”
เขาลุกขึ้น ก้มตัวลงมานั่งใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว พูดเสียงดังข้างหูว่า “โครงการนี้ของผมเจ๋งมากนะ จะต้องทำเงินให้คุณได้อย่างแน่นอน”
ไอความร้อนจากตัวเด็กหนุ่มไต่ขึ้นมาบนลำคอ จั๊กจี้จนชูหนิงเกิดคันขึ้นมานิดหน่อย เธอเลิกคิ้วสองข้างขึ้นแล้วขานเสียงตอบ