บทที่ 3 พวกปากอย่างใจอย่าง
อาคารแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสียเหออยู่ที่เขตตงตันซึ่งใกล้กับบริษัทมาก หลังเลิกงานตอนเย็นหนิงเหมิงก็เดินไปที่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมถังเจิ้งวั่งกับครอบครัวทั้งสามคนที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
เมื่อหนิงเหมิงได้พบกับถังเจิ้งวั่ง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่สบตากันนั้นอีกฝ่ายถึงกับตัวสั่น
ท่าทางเหมือนกับลูกแกะถูกสังเวย ช่างเหมือนกับหยางไป๋เหลาที่เจอถูกหวงซื่อเหริน* ไล่ล่าล้อมไว้
หนิงเหมิงรีบแสดงความห่วงใยบอกวัตถุประสงค์ที่มาพร้อมกับวางผลไม้ลง
“ได้ยินว่าคุณกับครอบครัวพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ประธานลู่ให้ฉันรีบมาเยี่ยมค่ะ ตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง”
ถังเจิ้งวั่งดวงตาแดงก่ำขึ้น “เราสองตายายไม่เป็นไร แต่ลูกชายผมสิ…สมองกระทบกระเทือน ตอนนี้ยังอยู่ในไอซียู!”
หนิงเหมิงเศร้าใจ เพียงแต่สีหน้าเธอยังสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนที่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่สูง สูงถึงขนาดที่ถ้ามีใครกล้ามาเรียกเธอเป็นแม่ เธอก็กล้าที่จะทำเรื่องรับเลี้ยงคนคนนั้นได้เลย
เมื่อได้เห็นความรักที่มีต่อลูกชายของถังเจิ้งวั่ง หนิงเหมิงรู้สึกปวดใจจนเหมือนจะบีบคั้นตัวเองออกมาเป็นน้ำมะนาวให้ได้***
“ประธานถัง ตอนนี้ติดขัดเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” หนิงเหมิงเอ่ยถามถังเจิ้งวั่ง
ริมฝีปากของถังเจิ้งวั่งขยับอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา “เรื่องติดขัดในครอบครัวผมก็พอจะจัดการได้ แต่เรื่องธุรกิจนี่สิ…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดต่อ “สถานการณ์ครอบครัวผมในตอนนี้ พูดกันจริงๆ ก็ทำให้ออเดอร์ใหญ่ๆ ของบริษัทต้องสะดุด เงินหมุนไม่ทันชั่วคราว ผมรู้ ระยะเวลาลงทุนของพวกคุณถึงกำหนดแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้จริงๆ ก็คือ…อย่างนี้ได้ไหม เลขาฯ หนิง รบกวนคุณช่วยผมคุยกับประธานลู่หน่อย ขอเวลาให้ผมสามเดือน ผมจะทำให้บริษัทกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมเข้าใจ คำพูดแบบนี้ก็เหมือนกับเป็นการตีเช็คเปล่า แต่ขอให้พวกคุณเชื่อใจผม…”
ถังเจิ้งวั่งยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนรน เกือบจะคว้ามีดมากรีดหัวใจออกมาให้หนิงเหมิงดูถึงความจริงใจอยู่แล้ว
หนิงเหมิงขัดเขาพร้อมกับแจ้งให้ชัดเจน “ประธานถัง ฉันไม่ได้มาทวงหนี้ ฉันเอาเงินมาให้คุณค่ะ”
ถังเจิ้งวั่งชะงักไปครู่หนึ่ง
หนิงเหมิงพูดต่อไปว่า “จริงๆ แล้วประธานลู่เชื่อมั่นในบริษัทของคุณมาก แล้วก็ยินดีที่จะให้เวลาคุณเพิ่มอีกหน่อย รอให้สถานการณ์ในบริษัทดีขึ้นแล้วหาจังหวะถอนทุนออก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนของคุณ ประธานลู่ยินดีจะให้คุณกู้เงินมาเพิ่มทุนเพื่อทำให้เกิดสภาพคล่องก่อน”
ถังเจิ้งวั่งได้ยินคำพูดนี้เข้าก็ถึงกับน้ำตาไหลทันที
“ขอบคุณ! ขอบคุณประธานลู่ ขอบคุณเลขาฯ หนิง! ขอบคุณ! ได้มาเจอนักลงทุนดีๆ อย่างพวกคุณ ผมยินดี…ยินดีทุ่มเทสุดชีวิต!” เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา พูดกับหนิงเหมิงด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เลขาฯ หนิง คุณต้องบอกประธานลู่นะครับ ต่อไปไม่ว่าประธานลู่จะลงทุนกับผมหรือไม่ ต่อไปถ้าเขาต้องการให้ผมช่วยอะไร ผมยินดีบุกน้ำลุยไฟไปช่วยเขาอย่างไม่รีรอ”
ตอนที่หนิงเหมิงออกมาจากโรงพยาบาลก็ดึกแล้ว เธอกินบะหมี่ง่ายๆ ที่ร้านหย่งเหอต้าหวังแล้วก็ไปขึ้นรถเมล์
พอดีแถวสุดท้ายมีที่นั่งว่าง หนิงเหมิงเดินเข้าไปนั่งศีรษะพิงกับขอบหน้าต่าง ในระหว่างที่รถเมล์ขับๆ หยุดๆ โดยใช้ความเร็วเหมือนกับคลานนั้น นอกหน้าต่างก็มีภาพรถติดที่เกิดขึ้นทุกวัน
แถวนี้ดูเหมือนจะไม่มีเวลาไหนที่รถไม่ติดเลย
ทุกครั้งที่มีคู่ค้าจะมาเจรจาโปรเจ็กต์ พวกเขาต่างก็อดที่จะตัดพ้อกับเธอไม่ได้ ‘แถวหวังฝูจิ่งรถติดมากจริงๆ ฉันมาก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมงยังเกือบจะมาสาย!’
แต่ทุกครั้งพวกเขาก็จะพูดถึงด้วยความอิจฉา ‘มิน่าล่ะ ที่นี่คือใจกลางของปักกิ่งสินะ สามารถเปิดบริษัทที่นี่ได้ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่เจ๋งสุดๆ ทั้งนั้น! สามารถมาทำงานที่นี่ได้ก็จะต้องเป็นคนเก่งระดับโลกจริงๆ น่ะสิ เหมือนกับ ผอ. หนิง!’
หนิงเหมิงที่พิงหน้าต่างอยู่ก็ยิ้มอ่อนๆ ออกมา ช่างเป็นความเข้าใจผิดที่โหดร้ายจริงๆ
ความหรูหราอลังการ ความสามารถพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ เธอไม่ใช่ ผอ. หนิง เธอเป็นแค่เลขานุการเท่านั้นเอง
นอกหน้าต่าง รถมายบัค* คันหนึ่งโฉบผ่านไป หนิงเหมิงเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อมองดูทะเบียนรถให้ชัด เมื่อเห็นว่าไม่ใช่รถของลู่จี้หมิง เธอก็พิงศีรษะกับหน้าต่างอีกครั้งแล้วหัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา
บ้าไปแล้ว ทำงานจนหลอน แค่เห็นรถมายบัคก็รู้สึกว่าลู่จี้หมิงมา รู้สึกว่าอีกสักพักก็จะต้องประลองปัญญากับผู้ป่วยโรคบอสซินโดรมอีกแล้ว
ขณะที่รถขับๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง หนิงเหมิงมองไปทางด้านนอกเห็นไฟถนนสีเหลืองส้มพลางคิดว่าลู่จี้หมิงเป็นคนอย่างไรกันแน่
ถ้านิสัยปากอย่างใจอย่างสามารถจัดอันดับได้ หมอนี่จะต้องเป็นผู้แข่งขันอันดับหนึ่งแน่นอน ปากคมยิ่งกว่ามีดหมอซ้ำยังทิ่มแทงคนได้ด้วย ส่วนใจกลับอ่อนเป็นเต้าหู้เละๆ ดูเหมือนไอ้งี่เง่าที่ดูแลเอาใจยาก แต่ถ้าค่อยๆ พิจารณาอย่างละเอียดก็จะรู้สึกว่าเขาก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
หนิงเหมิงรีบคว่ำบทสรุปที่ว่า ‘ลู่จี้หมิงก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง’ อย่างเข่นเขี้ยว