หลังจากที่หนิงเหมิงกลับถึงบ้าน เธออ่านหนังสือด้านธุรกิจสักพักแล้วค่อยไปอาบน้ำ เวลาก็ผ่านไปเกือบห้าทุ่มแล้ว
เธอปิดไฟเตรียมตัวจะเข้านอน
ขณะที่เกือบจะหลับไปแล้ว เสียงเรียกเข้ามือถือที่แสบหูก็กรีดร้องดังขึ้น
หนิงเหมิงหยิบมือถือขึ้นมา เห็นสายเรียกเข้าเป็นหมายเลขของลู่จี้หมิง
ใจเธอพลันกระตุกขึ้นมา อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ารถมายบัคที่เห็นตอนนั่งรถเมล์เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
แล้วก็…
หลังจากรับโทรศัพท์ เสียงที่ลอดผ่านมากลับไม่ใช่เสียงของลู่จี้หมิง “ฮัลโหลมะนาวน้อย ผมเป็นเพื่อนซี้เจ้านายคุณนะ เราเคยเจอกันด้วย ตอนนี้เจ้านายคุณดื่มจนเมาแล้ว ขับรถไม่ได้แล้วล่ะ เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ให้คุณนะ คุณรีบมารับหน่อย แล้วช่วยมาจ่ายเงินแทนเขาด้วย!”
ไม่รอให้หนิงเหมิงปฏิเสธ โทรศัพท์ก็ตัดสายไปทันที แล้วก็มีข้อความที่แสนกระแทกตาทะลุเข้ามาในกล่องข้อความ
หนิงเหมิงมองดูข้อความที่ส่งมาก็ถึงกับกัดฟันหายใจแรงๆ
เมื่อครู่เธอยังคิดว่าเขาเป็นคนดี เฮอะ! ดีบ้าอะไร! คนเลว!
หญิงสาวผุดลุกขึ้นจากกองผ้าห่ม จากนั้นก็ออกจากบ้านไปเรียกแท็กซี่เพื่อไปผับแถวซานหยวนหลี่
เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปตลอดทาง เกลียดตัวเองที่ทำไมถึงไม่ยอมปฏิเสธให้เด็ดขาด
ทำไมถึงปฏิเสธไม่ได้ นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ละครั้งก็ทำให้เธอรู้จักเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของเขาเกือบจะครบหมดแล้ว
หนิงเหมิงคิดว่าอาจเป็นเพราะตอนลู่จี้หมิงเรียกเธอให้ทำแบบนี้ครั้งแรก เธอก็ไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาด มีบางเรื่องไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาดในครั้งแรก ต่อไปก็อย่าได้คิดจะเปิดปากปฏิเสธอีก
ตั้งแต่ครั้งแรกที่จะต้องไปลากตัวใครบางคนมาส่งกลับบ้านตอนดึก เธอสปอยล์นิสัยเสียของเจ้านายจนทำได้อย่างมั่นใจขึ้นทุกวัน ทำให้เขาคิดว่านอกจากเวลาทำงานที่สามารถเรียกใช้เธอได้แล้ว เลิกงานเขาก็ยังเรียกใช้เธอต่อได้อีก อะไรนิดอะไรหน่อยก็ค่อยขึ้นเงินเดือนให้เธอ ข้อเรียกร้องที่เกินไปทุกอย่างก็กลายเป็นหน้าที่ของเธอ
หนิงเหมิงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในใจก็อยากจะพ่นไฟ
อาการบอสซินโดรมกำเริบก็เพราะมีลูกน้องที่เชื่อฟังคอยส่งเสริม
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าตัวเองจะเป็นเลขาฯ แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เดิมเธอก็ไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่นัก สามปีนี้เป็นเลขาฯ ให้กับลู่จี้หมิง บุคลิกที่เป็นคนตามน้ำทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจและล้ำเส้นได้
ตอนนี้เธอแทบไม่รู้จะพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้อย่างไรแล้ว
หนิงเหมิงรีบไปถึงหน้าร้านบาร์เหล้า เมื่อเดินเข้าไปข้างใน ด้านหลังมีลำแสงสองเส้นสว่างจ้าขึ้น ตามด้วยเสียงบีบแตรดังสนั่น
เธอหันกลับไปมองก็เห็นรถมายบัคของลู่จี้หมิง
หญิงสาวหันกลับเดินไปตามแสงที่ส่องสว่างมา เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ประหลาดใจที่เห็นว่าในรถไม่ได้มีเพียงลู่จี้หมิงเพียงคนเดียว
ยังมีเพื่อนเสเพลที่นุ่งกางเกงผ้าแพร* ของเขาอีกสองคนด้วย
หนิงเหมิงยืนอยู่นอกรถได้ยินเสียงลู่จี้หมิงที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับขยับปากพูดกับเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังทั้งสองคน
“พวกนายไม่ต้องเรียกรถแล้ว เดี๋ยวให้เลขาฯ ฉันไปส่งที่บ้านพวกนายทีละคน เธอขับรถเก่งมาก ฉันน่ะออกเงินส่งเธอไปเรียนขับรถเลยนะ!” ขณะที่เขาพูดประโยคนี้ ท่าทางที่แสดงออกมันเหมือนเด็กที่น่าจับฟาดจริงๆ
หนิงเหมิงอยากจะตีขวดแก้วให้แตกแล้วเอาไปแทงไอ้ขี้เมานี่จริงๆ พูดเหมือนกับเลี้ยงดูเธออย่างนั้น ที่จริงเธอก็แค่เบิกค่าเรียนโรงเรียนสอนขับรถของตงฟางสือซ่าง* เท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง
ทั้งสองคนหันมาเห็นหนิงเหมิงก็ทักทายเธอ
“ไง มะนาวน้อย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นนะเนี่ย”
เมื่อได้ยินคำว่าสวย หัวใจหนิงเหมิงก็สั่นขึ้นมา
“แว่นตาใหม่ใช่ไหม สวยจริงๆ นะ”
หัวใจหนิงเหมิงหยุดเต้น แล้วก็ผุดมีดขึ้นมาเป็นร้อยเล่ม เธออยากจะจับหนุ่มเสเพลสองคนนี้โยนเข้าไปให้โดนแทงจนพรุนเหมือนกระชอน แต่ใบหน้าเธอก็เผยรอยยิ้มที่ตรงข้ามกับใจ
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
หนิงเหมิงเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งที่ฝั่งคนขับ
ลู่จี้หมิงยื่นหน้าเข้ามาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “มา หนิงเหมิง คุณช่วยไปส่งหนุ่มหล่อสองคนหน่อย อย่าให้เสียทีที่คนเขาชมคุณนะ”
หนิงเหมิง “…”
นั่นเค้าชมว่าฉันสวยหรือไง ชมแว่นตาสวยต่างหาก!!