บทที่ 4 ตัวหาเรื่อง
หนิงเหมิงกำลังนั่งรถกลับบ้าน เธอไม่ได้ค้างอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่แตกต่างกับชาวบ้านหลังนั้น
เมื่อกลับถึงบ้านก็ตีสองกว่าแล้ว เพราะขี้เกียจจะล้างหน้าล้างตาอีกรอบหนิงเหมิงจึงพุ่งไปที่เตียงนอน หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายไปเลยเช่นกัน
แม้ว่าครั้งนี้จะนอนหลับลึกมาก เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นถึงสามครั้งหนิงเหมิงถึงได้ยิน แต่เมื่อเธอลุกขึ้นมาส่องกระจกก็ยังเห็นดวงตาดำคล้ำทั้งสองข้าง
เธอทำตัวให้กระฉับกระเฉงแล้วรีบไปบริษัท
ไม่นานนักลู่จี้หมิงก็มาถึง ขณะที่เขาเดินผ่านโต๊ะทำงานของหนิงเหมิง เธอก็ได้กลิ่นเหล้าที่ยังหลงเหลือจากการดื่มเมื่อคืน
โดยปกติถ้าเป็นเจ้าของบริษัทคนอื่น คืนก่อนดื่มหนักแล้วล่ะก็ วันรุ่งขึ้นจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกวัน ยังไงซะบริษัทก็เป็นของตัวเอง ใครจะมากล้าว่า
แต่ลู่จี้หมิงไม่ใช่คนเช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะดื่มมากขนาดไหน วันรุ่งขึ้นต่อให้ต้องนอนบนเปลหามไปเขาก็จะต้องมาทำงานให้ได้
ลู่จี้หมิงเคยบอกว่า ‘ฉันดื่มเยอะขนาดไหนก็ยังไม่ต้องพัก! ดูว่าใครดื่มหนักแล้วจะยังกล้าขอลาพักอีกไหม’
หนิงเหมิงซูฮกให้กับการกระทำที่ไม่ต้องการให้คนอื่นทำ ตัวเองก็เลยต้องลำบากไปด้วยของเขาจริงๆ
ลู่จี้หมิงเข้ามาในห้องทำงานไม่ถึงนาทีก็โทรเรียกหนิงเหมิงเข้าไป
“เข้ามา!”
เพียงสองคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทำให้หนิงเหมิงถึงกับสะดุ้ง
คุณชายน่าจะมีเรื่องที่ไม่พอใจและกำลังต้องการหาเรื่องแน่ๆ
หนิงเหมิงเข้ามาในห้องทำงาน ลู่จี้หมิงมองเธอพร้อมกับใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะไปด้วย จังหวะของเสียงที่ดังออกมาแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง
เสียงพูดที่เป็นทางการอย่างมากของลู่จี้หมิงดังขึ้น
“ผมจำได้ว่าเมื่อคืนก่อนที่จะหลับไป ผมบอกให้คุณไปหาห้องนอนที่ชั้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ แล้วคุณไปไหน ทำไมคุณถึงหนีออกไปล่ะ บอกผมก่อนแล้วหรือยัง ทำให้ผมต้องมาหาพนักงานขับรถแทนตอนเช้าอีก”
หนิงเหมิงได้ยินเข้าก็ชะงัก เขาไม่พอใจกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้? ดูท่าทางอาการบอสซินโดรมของเจ้านายคนนี้จะเพิ่มระดับขึ้นอีกแล้ว
เธอจึงได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ
ฉันเป็นเลขาฯ ของคุณ ไม่ใช่แม่ของคุณนะลูกพี่! คุณโตขนาดนี้แล้ว จะมาเข้าห้องน้ำแล้วยกก้นรอให้คนอื่นมาเช็ดได้ยังไง นี่คุณบ้าไปแล้วสินะ!
แต่หน้าตาของเธอยังคงนอบน้อมเป็นปกติ
“ประธานลู่ คืออย่างนี้นะคะ เมื่อคืนฉันรีบออกจากบ้านจึงลืมปิดหัววาล์วแก๊ส เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ต้องกลับไปค่ะ”
ลู่จี้หมิงร้องเหอะออกมา แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
เขาเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีโดยถามขึ้นว่า “เมื่อวานคุณไปเยี่ยมคุณถังหรือยัง”
“ไปหลังเลิกงานแล้วค่ะ” หนิงเหมิงรายงานสิ่งที่เธอพบเห็นเมื่อไปถึงโรงพยาบาล
ลู่จี้หมิงฟังเรื่องราวทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าถังเจิ้งวั่งรู้สึกขอบคุณเขาจนแทบจะควักเอาหัวใจออกมาให้ เขาก็เผยรอยยิ้มสะใจสุดๆ ออกมา
หนิงเหมิงพยายามจะไม่กลอกตามองบน เขาสามารถแสดงท่าทีเอาดีเข้าตัวได้อย่างไม่คิดจะปิดบังเลย คนรวยช่างหน้าไม่อายจริงๆ
ฟังลู่จี้หมิงบ่นเรื่องลำดับการประชุมของวันนี้กับรอเขาเซ็นชื่อประทับตราในเอกสารหลายฉบับแล้ว หนิงเหมิงก็ถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังอารมณ์ดีหยิบเอาใบเสร็จค่าแท็กซี่สองใบออกจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่เป็นใบเสร็จค่าแท็กซี่ที่ไปรับคุณเมื่อคืนกับตอนที่ฉันนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เมื่อวานคุณบอกว่าวันนี้ให้ฉันเอาใบเสร็จมาเบิกได้เลยไม่ต้องเข้าโอเอ*” หนิงเหมิงครุ่นคิด เมื่อได้จังหวะเหมาะก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ที่จริงเงินแค่นี้ไม่เบิกก็ไม่เป็นไร”
ประโยคนี้ปลุกยีนดื้อดึงของลู่จี้หมิงขึ้นมาได้สำเร็จ เขาเคาะโต๊ะอย่างแรง “คุณพูดแบบนี้ผมก็ต้องเบิกให้คุณให้ได้ เหยียนหวังเหยียไม่ติดหนี้ผีกระจอก** หรอก?!”
เขาหยิบใบเสร็จค่าแท็กซี่มามองดูแล้วก็ถามขึ้นว่า “แค่สองใบนี้เหรอ เมื่อวานคุณไปโรงพยาบาลไม่ได้เรียกแท็กซี่กลับบ้าน?”
หนิงเหมิงดันแว่นตาแล้วตอบไปว่า “เปล่าค่ะ ฉันนั่งรถเมล์กลับ”
ลู่จี้หมิงถามทันที “ทำไมถึงไม่เรียกแท็กซี่”
“ก็ช่วยบริษัทประหยัดเงิน ปกติถ้าไม่ต้องเรียกแท็กซี่ได้ ฉันก็จะพยายามไม่เรียกแท็กซี่ค่ะ”
ลู่จี้หมิงร้อง “เฮอะ” ออกมา “ถ้าคุณไม่นั่งแท็กซี่เพราะต้องการช่วยบริษัทประหยัดเงิน ผมจะกินใบเสร็จสองใบนี้เข้าไปตอนนี้เลย” เขาพูดเสียงเข้ม “พูดความจริง!”
“ต้องแปะใบเสร็จแล้วก็ทำเรื่องขอเบิกตามโอเอ ขั้นตอนมันยุ่งยากน่ะค่ะ”
ลู่จี้หมิงร้อง “เฮอะ” ออกมาอีก รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความประชดประชันเล็กๆ กลับทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด “ทำไมล่ะ นี่กำลังจะบอกผมให้จัดรถให้คุณอีกคันล่ะสิ”