“เอะอะอะไรก็จะลาออก ทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ ทำแบบนี้ก็เท่ากับปิดทางเดินตัวเองนะ!”
หนิงเหมิง “…” คนที่ปิดทางเดินให้ฉันเลือกที่จะลาออกคือคุณต่างหาก!
“ผมจะเหลือทางออกให้คุณ เอาอย่างนี้ อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสคุณ ผมให้เวลาหนึ่งเดือน ผมจะให้คุณไปที่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุนไปลองทำโปรเจ็กต์ดูก็ได้ แต่ถ้าหนึ่งเดือนแล้วคุณทำไม่ได้ คุณก็ต้องกลับมาทำงานเป็นเลขาฯ ให้ผมเหมือนเดิม อย่าหาเรื่องอะไรอีก ผมบอกก่อนนะ สามปีนี้ผมลงทุนลงแรงฝึกให้คุณเป็นเลขาฯ ที่เก่งกาจขนาดนี้ ที่ทุ่มเทลงไปก็ไม่น้อย คุณจะไม่รับผิดชอบแบบนี้ไม่ได้ จะดื้อรั้นเอาแต่ที่ตัวเองพอใจไม่ได้!”
“…”
หนิงเหมิงไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบกลับคำพูดนี้อย่างไร คำพูดพวกนี้ทำให้เธอดูเหมือนคนไร้หัวใจ…ที่เธอเป็นเลขาฯ ที่ดีได้ไม่ใช่ได้รับการฝึกฝนมา แต่ถูกทรมานให้เป็น เขากล้าที่จะใช้คำพูดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร
หนิงเหมิงเชื่อว่าสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของลู่จี้หมิงไม่ได้ต่ำนัก เขาไม่รู้สึกตัวว่าพูดจาข้างๆ คูๆ แถไปเรื่อยหรือไง
ลู่จี้หมิงจงใจพูดแบบนี้เพื่องัดข้อกับเธองั้นหรือ
ทำไมเธอถึงลืมไปได้ เจ้านายคนนี้ชอบงัดข้อกับคนอื่น ยิ่งเธออยากลาออกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่ให้เธอลาออกได้สำเร็จ
ลู่จี้หมิงเคาะโต๊ะอย่างหงุดหงิด “คุณได้ยินข้อเสนอของผมไหม”
หนิงเหมิงดันแว่นตาและต่อรองอย่างใจเย็น “หกเดือน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ “ฝันไปสิ! สองเดือน!”
“สี่เดือน”
ลู่จี้หมิงยกมือขึ้นหยิบจดหมายลาออกที่วางอยู่ด้านข้างและตบลงไปต่อหน้าหนิงเหมิง หยิบปากกาถอดฝาออก ทำท่าทางพร้อมจะเซ็นชื่อลงไป
“หนิงเหมิงอย่าให้มันมากนัก! สามเดือน ถ้ายังต่อรองอีกผมจะเซ็นชื่อแล้วนะ!”
หนิงเหมิงดันแว่นตา เธอดึงจดหมายลาออกจากมือของลู่จี้หมิงมาอย่างเงียบๆ
สามเดือนก็สามเดือน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพประกันสังคมไม่ต้องขาดส่งเพราะลาออก
หนิงเหมิงถูกย้ายไปทำงานในแผนกโปรเจ็กต์สอง เป็นลูกน้องของชิวจวิ้นหลิน
การย้ายตำแหน่งของเธอนั้นมองแบบผิวเผินก็ดูสงบราบเรียบ ราวกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดปกติอะไร ทุกคนจึงยอมรับโดยดี แต่ลับหลังก็มีการวิพากษ์วิจารณ์และคาดเดากันไปต่างๆ นานา
คนที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรมากที่สุดคือชิวจวิ้นหลิน เขาไม่รู้ว่าทำไมคนข้างกายเจ้านายอยู่ๆ ก็หลุดเข้าไปในแผนกลงทุน เจ้านายจะส่งคนมาตรวจสอบงานแผนกของเขาหรือเปล่า
เขาดีกับหนิงเหมิงไปสองวัน พอวันที่สามก็อดทนไว้ไม่อยู่ ส่งคนสนิทไปคุยกับเธอ
หนิงเหมิงรู้ว่าถ้าตัวเองพูดให้ชัดเจนคงไม่สามารถทำงานร่วมกับแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนได้จริงๆ คนที่นี่กีดกันเธอ ทำเหมือนเธอเป็นขโมย
ดังนั้นเธอจึงสรุปคำพูดออกมาด้วยความจริงใจเพื่อบอกกับคนสนิทของชิวจวิ้นหลิน เปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั่นคือจากที่ลู่จี้หมิงยื่นคำขาดว่าถ้าสามเดือนแล้วเธอยังไม่มีผลงาน เธอจะต้องกลับไปทำงานเป็นเลขานุการให้เขาต่อ ก็เปลี่ยนเป็นถ้าสามเดือนไม่มีผลงาน เธอจะต้องเก็บกระเป๋าไสหัวไป
หลังจากแบไต๋ไปแล้ว ชิวจวิ้นหลินก็ดูท่าทางเธอต่ออีกสองวัน เมื่อมั่นใจว่าหนิงเหมิงไม่ใช่สายลับที่ลู่จี้หมิงส่งมา ตรงกันข้ามเขาจับความรู้สึกได้ว่าลู่จี้หมิงรังเกียจและโมโหหนิงเหมิงอยู่เลาๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดความสงสัย เขาไม่ต้องคำนึงถึงอะไรแล้ว ชิวจวิ้นหลินเริ่มกลั่นแกล้งหนิงเหมิงทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ตัวอย่างเช่นเมื่อต้องไปประชุมที่บริษัทที่จะทำโปรเจ็กต์ลงทุนในวันรุ่งขึ้น เขาแจ้งทุกคนให้ไป แต่พลาด ‘ลืม’ ที่จะแจ้งหนิงเหมิงเท่านั้น
หรือให้หนิงเหมิงเดินทางไปเมืองอื่นเพื่อเก็บข้อมูล ‘โปรเจ็กต์ที่มีศักยภาพ’