เดิมเขาต้องการเห็นเธอเสียหน้า คนทำงานเป็นเลขาฯ ไปเก็บข้อมูลวิเคราะห์โปรเจ็กต์ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องตลกอย่างไรบ้าง
ผลก็คือหนิงเหมิงเก็บข้อมูลวิเคราะห์โปรเจ็กต์ได้ชัดเจนและมีหลักการทีเดียว
ชิวจวิ้นหลินรู้สึกประหลาดใจและผิดหวังกับเรื่องนี้มาก เรื่องการกลั่นแกล้งก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะทำอะไรหนิงเหมิงไม่ได้
เขาไม่รู้ว่าหนิงเหมิงทุ่มเททำงานหนักขนาดไหน
แม้ว่าตอนที่ทำงานกับลู่จี้หมิงจะพัฒนาทักษะความรู้ทางวิชาชีพมากมาย แต่หนิงเหมิงก็รู้ดีว่าตัวเองยังขาดความรู้ทางธุรกิจอีกมาก เมื่อก่อนตอนที่ยังทำงานกับลู่จี้หมิงก็ได้จับโปรเจ็กต์ต่างๆ แต่การจับงานพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่อยู่ในกระดาษเท่านั้น แม้ว่าเธอจะเรียนรู้ได้มากมาย แต่ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่มีโอกาสเรียนรู้ ตัวอย่างเช่นวิธีการค้นพบโปรเจ็กต์ที่ดี วิธีการดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ และวิธีวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโปรเจ็กต์จากมุมมองของกฎหมาย การเงินและการอุตสาหกรรม เรื่องขั้นพื้นฐาน เรื่องธรรมดาพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมาก่อนขณะที่นั่งอยู่หน้าห้องท่านประธาน
เอกสารที่นำเสนอมาถึงหน้าห้องท่านประธาน ที่ปรากฏอยู่ด้านในคือสถานะของโปรเจ็กต์ที่ผ่านขั้นตอนการทำงานจริงๆ มาแล้ว อยู่ในขั้นตอนของการนำเสนอข้อสรุป
หนิงเหมิงเคยดูข้อสรุปเหล่านี้มาก่อน แต่ขาดการลงมือทำงานจริง
หลังจากเธอมาที่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุน ไม่นานก็ค้นพบว่างานทางการปฏิบัติของเธอยังน้อยอยู่มาก ดังนั้นเธอจึงเริ่มทำงานอย่างหนักให้มีผลงานที่ยังขาดอยู่
เธออ่านหนังสือ ท่องจำมาตรากฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ และเจาะลึกกรณีต่างๆ ของโปรเจ็กต์ เธอเจาะลึกความเสี่ยงทางกฎหมายและวิจัยเกี่ยวกับระบบควบคุมความเสี่ยง การเงินคือวิชาเอกของเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นเลขาฯ มาสามปีแล้ว แต่เธอไม่เคยละเลยวิชาความรู้ด้านที่เรียนมาเลย เพราะเธอรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้ใช้ความรู้เหล่านี้ เป็นทักษะที่เหนือคนอื่นในการก้าวเดินบนถนนแห่งโลกการเงิน
และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เธอจะใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้มา
หนิงเหมิงเก็บข้อมูลและวิจัยภาคสนามเสร็จสิ้นเรียบร้อยเป็นอย่างดี และชิวจวิ้นหลินไม่สามารถทำให้เธออับอายได้
แต่ชิวจวิ้นหลินก็ยืนหยัดไม่ยอมแพ้ เขาหาวิธีอื่นมากลั่นแกล้งเธอต่อไป
เขายังคงส่งหนิงเหมิงไปเก็บข้อมูลวิเคราะห์โปรเจ็กต์ หลังจากเธอกลับมาเขาก็ส่งรายงานการวิจัยนี้ขึ้นไป ถ้าโปรเจ็กต์นี้สามารถทำได้ ผลการวิเคราะห์ก็จะถูกชิวจวิ้นหลินแย่งไป หากโปรเจ็กต์ไม่สามารถทำได้ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ที่บรรดาท่านประธานบริษัทแนะนำมา ความผิดนี้หนิงเหมิงก็จะเป็นคนรับไป ส่วนเขาก็จะรอดพ้นออกมาได้อย่างสะอาดหมดจด
“หนิงเหมิงบอกว่าบริษัทนี้คุณสมบัติไม่ได้ ไม่ควรลงทุน เธอเป็นคนที่ประธานลู่ฝึกมา เธอบอกว่าไม่สามารถลงทุนได้ ถ้าผมจะดึงดันลงทุนโปรเจ็กต์นี้ต่อไป มันไม่สมควร”
ดังนั้นหนิงเหมิงที่เข้ามาในแผนกโปรเจ็กต์สองได้ไม่นานก็ใช้สายสัมพันธ์ที่ดีซึ่งสะสมมาสามปีนี้จนเกือบหมด
ที่จริงหนิงเหมิงก็รู้ดีว่าทำไมชิวจวิ้นหลินคอยกลั่นแกล้งเธอไม่หยุดแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ลู่จี้หมิงเสียอารมณ์เสียใส่ชิวจวิ้นหลินเพราะเรื่องความล่าช้าในการระดมทุนรอบที่สองของบริษัทเสื้อผ้า ชิวจวิ้นหลินไม่พอใจที่หนิงเหมิงไม่ได้ช่วยเขาพูดเลย
หนิงเหมิงรู้ว่าตอนนั้นชิวจวิ้นหลินไม่พอใจมาก แต่เธอไม่คิดว่าคนระดับผู้อำนวยการคนนี้จะใจแคบยิ่งกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะสมัยประถมของเธอที่ชอบวาดเส้นแบ่งเขตแดนบนโต๊ะ เพื่อนคนนั้นยังให้โอกาสเธอล้ำเส้นสองครั้งทุกวัน ครั้งที่สามถึงจะเริ่มตอบโต้ ชิวจวิ้นหลินช่างดีจริงๆ ไม่ให้โอกาสอะไรเลยสักนิด กลั่นแกล้งเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิกรา
หนิงเหมิงหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสร้างผลงาน เพราะถ้ามีผลงานก็เป็นของสกุลชิว ถ้ามีความผิดพลาดอะไรก็สกุลหนิง
หญิงสาวเริ่มร้อนรน ลู่จี้หมิงให้เวลาเธอเพียงสามเดือนเท่านั้น เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย และเวลาเกือบครึ่งหนึ่งก็ผ่านไปแล้วด้วย
หนำซ้ำตอนที่เธอยังปวดหัวไม่ได้หยุด หยางเสี่ยวหยางก็มักจะมาหาเพื่อโอดครวญสร้างความปวดหัวให้เธอเพิ่มขึ้นไปอีก
หยางเสี่ยวหยางบอกว่าตัวเองกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า ขอร้องให้หนิงเหมิงกลับมาทำงานที่สำนักงานบริหารเร็วๆ เธอบอกว่าลู่จี้หมิงเหมือนคนบ้า เปลี่ยนเลขาฯ วันละคน คนที่มาใหม่ไม่เข้าตาเขาสักคน แม้ว่าคนคนนั้นจะดีถึงขนาดทำให้เจ้าชายดูไบหลงใหลได้ แต่เขาก็ยังทำพวกเธอร้องไห้อยู่ดี
“คุณไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ท่านประธานน่ากลัวขนาดไหน! ถ้าฉันลาออกแล้วไม่ต้องไปเป็นขอทาน ฉันอยากจะลาออกจริงๆ!” หยางเสี่ยวหยางทุบหน้าอกของตัวเองขณะบอกเล่าความรู้สึกที่เจ็บปวดให้หนิงเหมิงรับรู้
นอกจากหยางเสี่ยวหยางแล้วยังมีบรรดาผู้อำนวยการบางคนที่มาหยั่งเสียงของหนิงเหมิง
พวกเขาถามเธอว่างอนอะไรกับประธานลู่ ทำไมบอสถึงเนรเทศเธอมาที่นี่ เป็นไปได้ไหมที่จะคืนดีกับบอส อ้อ ไม่มี แต่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ หรือที่จะกลับไปทำงานที่สำนักงานบริหาร
หนิงเหมิงบอกพวกเขาด้วยความมั่นใจและเด็ดขาดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว
บรรดาผู้อำนวยการที่เต็มไปความหวังเหล่านั้นต่างก็ต้องผิดหวังหน้าคว่ำกันไป พวกเขาถอนหายใจยาวแล้วก็พูดอย่างสิ้นหวังว่าจบกัน ต่อไปใครก็อย่าได้คิดมีชีวิตที่ดีแล้ว!
หลังจากนั้นหนิงเหมิงก็สบายหูไปสักพัก แล้วต่อมาเธอก็ต้องต้อนรับสมาชิกคนสุดท้ายที่มาหยั่งเสียงว่า ‘จะกลับไปทำงานที่สำนักงานบริหารหรือไม่’
นั่นคือลู่จี้หมิง