บทที่ 8 บังเอิญแล้วก็บังเอิญ
ระหว่างที่หนิงเหมิงเดินไปที่เครื่องกดน้ำก็พบกับลู่จี้หมิง เธอคิดว่ามันเป็นการบังเอิญเจอที่ไม่จำเป็น หลังจากนั้นเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะอยู่ใกล้ทางเดินก็บอกให้รู้ว่าคำว่า ‘เจอ’ มันไม่มีบัญหาอะไร แต่ ‘บังเอิญ’ คำนี้นี่มันน่าคิดมากจริงๆ
“ประธานลู่เดินไปเดินมาผ่านโต๊ะทำงานของฉันหลายต่อหลายครั้ง ถ้าไม่ไปเข้าห้องน้ำก็เดินมาตรงนี้แล้วต้องเรียกใครสักคนมาถามเรื่องงาน แต่ถามแล้วก็ใจลอย ทำเอาคนที่ถูกถามงงไปหมดแล้ว ฉันนี่แย่ที่สุด ทุกครั้งที่ประธานลู่เดินผ่านโต๊ะทำงานของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนน้ำดีขมๆ จะทะลักออกมาจากคอแล้ว ฉันกลัวว่าถ้าเขาก้มลงมามองเห็นฉันแล้วย้ายให้ฉันไปทำตำแหน่งเลขาฯ ที่ว่าง พรุ่งนี้ฉันคงถูกบีบให้ลาออกจนได้!”
การเดินของลู่จี้หมิงที่ทำให้คนสติหลุดนั้น ก็ ‘บังเอิญ’ สิ้นสุดลงเมื่อหนิงเหมิงออกมาหาน้ำดื่ม
ดังนั้นเมื่อหนิงเหมิงออกมาจากแผนกโปรเจ็กต์สองเธอก็เจอกับลู่จี้หมิงที่ ‘บังเอิญ’ ผ่านมาพอดี
ลู่จี้หมิงก็ยัง ‘บังเอิญ’ เหลือบมองเธอและพูดอย่างยโส “ใครน่ะ คุณ! ใช่ คุณนั่นแหละหนิงเหมิง มานี่หน่อย!”
หนิงเหมิงจึงต้องถือถ้วยเปล่าและเดินตามลู่จี้หมิงเข้าไปในห้องประชุมเล็ก
ลู่จี้หมิงนั่งไขว่ห้างพิงเก้าอี้หนังที่อยู่ใกล้ประตู เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางอย่างนั้น ตอนที่ลู่จี้หมิงไม่พูด เขาดูหล่อเหมือนพระเอกซีรี่ส์วัยรุ่นสดใส แต่ทันทีที่เขายุติท่าทางที่สงบนิ่ง คิ้วและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยและดวงตาที่เย็นชาทำให้เขากลายเป็นตัวโกงที่แสนชั่วร้าย
หนิงเหมิงยืนอยู่หน้าท่านประธาน ยอมรับการมองประเมินด้วยปลายตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยของเขา ดวงตาคู่นั้นเวลาที่จ้องมองใครก็แสดงถึงความเจ้าชู้อยู่บ้าง มันกำลังจ้องมองเธออยู่
หนิงเหมิงพอจับความรู้สึกได้ว่าทำไมลู่จี้หมิงถึงเรียกเธอเอาไว้ และก็รู้ว่าเขาจะใช้ท่าทางและพูดอย่างไร
แล้วก็จริง
“ว่ายังไง จะทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ”
น้ำเสียงที่เปิดฉากพูดของลู่จี้หมิงเป็นสิ่งที่หนิงเหมิงคาดไว้อยู่แล้ว
ประเภทคุณทำไม่ได้แน่ๆ ผมก็แค่รอเยาะเย้ยว่าคุณทำไม่ได้ นัยการประชดประชันชัดเจนมาก
แต่มีบางอย่างที่เกินความคาดหมายของหนิงเหมิง
ทันทีที่ได้ยิน ‘จะทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ’ สมองของเธอก็ทำงานอย่างรวดเร็ว เธอวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนมากมายจากประโยคสั้นๆ ง่ายๆ นั้น
เขาคิดว่าเธอทนไม่ไหวแล้ว ก็หมายความว่าเขารู้ว่าเธอทำงานอยู่ในแผนกโปรเจ็กต์สองได้ลำบากมาก หรือจะพูดให้ชัดขึ้นก็คือที่ชิวจวิ้นหลินเจ้าคิดเจ้าแค้นกลั่นแกล้งเธอ เขาเองก็รู้ แต่เขายังคงสงบนิ่ง ทั้งยังไม่ได้ใช้ความยุติธรรมและศีลธรรมที่มนุษย์ควรจะมีประณามการกระทำของหัวหน้าแผนกจิตใจคับแคบ แต่กลับคอยดูฉากเด็ด
ดังนั้นหนิงเหมิงจึงคิดว่าลู่จี้หมิงไม่ลังเลที่จะส่งเสริมคนเลว รอดูชิวจวิ้นหลินบีบให้เธอไม่มีทางไป บีบให้เธอต้องกลับไปเป็นเลขาฯ ให้เขาล่ะสิ?
เขาเห็นคุณค่าของเธอจริงๆ!
ใจของหนิงเหมิงอยากเอาชนะขึ้นมา เธอยืนหลังตรงและเชิดหน้าขึ้น ราวกับต้นสนต้นเล็กที่ไม่ยอมอ่อนข้อและเอ่ยบอกเขา
“ยังทนไหวค่ะ ผอ. ชิวกำลังฝึกฉันอยู่ แบบนี้ก็ดีมาก!”
ลู่จี้หมิงขมวดคิ้ว อารมณ์ร้ายของเขาก็ปะทุขึ้นมา
“ได้! ได้! คุณคิดว่ามันดีใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นอีกสองเดือนที่เหลือผมจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นไปอีก!”
หนิงเหมิงเองโดนกระทำจนมีอารมณ์ขึ้นมา เธอจึงโพล่งออกมาว่า “ประธานลู่ ฉันไม่เข้าใจ คุณไม่มีเลขาฯ อย่างฉันไม่ได้หรือไง ฉันดีตรงไหน”
ลู่จี้หมิงใช้นิ้วเคาะโต๊ะประชุมและยิ้มเหยียด
“ผมฝึกฝนคุณมาสามปีแล้ว ตั้งแต่เข้าสู่โลกธุรกิจคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยจนทำให้คุณกลายเป็นพนักงานที่โดดเด่น ตอนนี้คุณปีกกล้าขาแข็งแล้วก็คิดจะบินเดี่ยว คุณว่าผมจะกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ลงไปได้ยังไง”
หนิงเหมิงซึมซับคำพูดเหล่านี้ลงไป หลังจากซึมซับแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก