เขาไม่ได้ฝึกเธอมาสามปี แต่ทรมานเธอมาสามปีต่างหาก
หญิงสาวดันแว่นตา เธอไม่อยากจะอดทนอีกต่อไปแล้วจึงตอบไปว่า “ประธานลู่ อย่ากล้ำกลืนลงไปเลย ปกติถ้ากล้ำกลืนลงไปก็จะตายเอาได้นะคะ”
ลู่จี้หมิงชะงักนิ้วที่เคาะโต๊ะ เสียงตึกๆ หยุดกะทันหัน ห้องประชุมขนาดเล็กเงียบไปครู่หนึ่ง และทำให้เสียงหายใจของคนทั้งสองที่สวนกันยิ่งเหมือนกับเสียงลมสองสายที่พัดขึ้นมา
หนิงเหมิงไม่รู้ว่าตัวเองกลัวหรือไม่ วินาทีต่อมาลู่จี้หมิงจะระเบิดความโกรธใส่เธอหรือเปล่า เธอพูดคุยกับเขาด้วยตัวตนที่แท้จริงแบบนี้ เมื่อก่อนเธอมักจะรับมือตามอารมณ์และการพูดการทำงานของเขา ไม่เคยใช้น้ำเสียงสั่งสอนเขาเช่นนี้มาก่อน
หลังจากเงียบไปหลายวินาที ลู่จี้หมิงก็พ่นลมหายใจแล้วหัวเราะออกมา
มันเป็นการหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“หนิงเหมิง ดูเหมือนผมจะยังไม่รู้จักคุณ ที่แท้คุณกล้าพูดกับผมแบบนี้!”
หนิงเหมิงดันแว่นตาอีกครั้ง และหลังจากดันแว่นตาแล้วอาการสั่นที่ซ่อนอยู่ในปลายนิ้วของเธอก็สงบลงเช่นกัน
“ประธานลู่ ที่จริงแล้วฉันเป็นคนกวนโมโหมาก และตอนนี้ฉันก็เปิดเผยตัวตนแล้ว ด้วยท่าทางของฉันในตอนนี้ ถ้าฉันกลับไปทำงานเป็นเลขาฯ ให้คุณ ต้องทำให้คุณโกรธและกลืนความโกรธไปจริงๆ”
ลู่จี้หมิงขมวดคิ้วจ้องมองเธอโดยไม่กะพริบตา แววตาเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้า
ภายใต้สายตาจับผิดของเขา ปลายนิ้วของหนิงเหมิงสั่นขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้ เธอพยายามบังคับความรู้สึกที่อยากจะดันแว่นตาและบังคับตัวเองให้สงบเหมือนปกติ
เธอตั้งหลักรอลู่จี้หมิงกระโดดขึ้นมาด้วยความโมโหแล้วอาละวาดยกใหญ่
แต่ในท้ายที่สุดลู่จี้หมิงกลับหัวเราะเยาะเย้ยอีกครั้ง
การเสียดสีไม่ได้รุนแรงไปกว่าเดิม และเสียงหัวเราะก็ดูเหมือนจะมีความขบขันเจือปนอยู่
“หนิงเหมิง” ลู่จี้หมิงเรียกชื่อหญิงสาว น้ำเสียงนั้นดูแตกต่างไปจากทุกครั้งที่เขาเรียกเธอก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเขาใส่ใจมากขึ้น “ปากแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์ ทนไม่ไหวก็รีบกลับมาเป็นเลขาฯ ให้ผม! ไม่มีใครใช้ง่ายเท่าคุณอีกแล้ว!”
หลังจากพูดจบแล้วลู่จี้หมิงก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องประชุมเล็กทันที เขาเปิดประตูออกไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เหมือนกับนกยูงที่น่าตบจริงๆ
หนิงเหมิงมองดูแผ่นหลังของเขา ปล่อยให้ปลายนิ้วมือสั่นโดยไม่ต้องกลั้นเอาไว้ เธอกัดฟันด้วยความโกรธ
ดูถูกกันนักใช่ไหม ฉันใช้งานง่าย ก็ควรจะเป็นแม่บ้านของคุณตลอดไปใช่ไหม ได้ ขอบคุณสำหรับการดูถูกของคุณ ฉันไม่เคยอยากจะต่อสู้เท่ากับตอนนี้เลย ฉันต้องทำผลงานไปฟาดใส่หน้าคุณให้ได้!
ตอนกลางคืนเมื่อเลิกงานกลับถึงบ้าน หนิงเหมิงกำลังนวดคอที่ปวดพร้อมกับคุยวิดีโอคอลล์กับโหยวฉี
เธอถามโหยวฉีว่า “แกจะกลับมาเมื่อไหร่ นี่ก็เดือนหนึ่งผ่านไปแล้วนะ แต่แกยังอยู่เมืองนอกอยู่เลย แบบนี้แกก็มาหลอกลวงความรู้สึกของฉันน่ะสิ! ถ้าแกยังไม่กลับมาก่อนที่บ้านเช่าจะครบสัญญา ฉันบอกแกไว้เลยนะ ตอนย้ายบ้านฉันจะทิ้งเศษขยะที่แกส่งกลับมาให้หมด”
โหยวฉีรีบรับปากว่าเร็วๆ นี้แล้ว แต่ได้ยินเสียงเยาะเย้ยเหมือนเสียงหมูร้องของหนิงเหมิงกลับมา
“เร็วแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดฉันก็กลับไปตั้งนานแล้ว” โหยวฉีเล่าให้เพื่อนฟังว่า “เหล่าเหอบังเอิญพบเพื่อนเก่าระหว่างการส่งมอบโปรเจ็กต์ เพื่อนเก่าคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ในจีน พอได้ยินว่าเหล่าเหอกำลังจะกลับจีน เขาก็เริ่มดึงตัวไว้อย่างสุดชีวิต เขายังบอกอีกว่าเขาจะเป็นคนจ่ายค่าผิดสัญญาที่เหล่าเหอเซ็นไว้กับบริษัทในจีนที่ว่า ฉันเดาว่าเขาคงรอให้ทุกอย่างชัดเจน ฉันถึงจะกลับไปได้”
หนิงเหมิงนวดคอตัวเองพลางถาม “บริษัทอะไรเหรอ”
โหยวฉีตอบ “ฉันไม่ได้ถามรายละเอียด ประมาณพวกประกันกองทุนหลักทรัพย์อะไรนั่นแหละ”
หนิงเหมิงนับถือความไม่รอบคอบของเพื่อนมากจริงๆ
เมื่อเห็นหนิงเหมิงนวดคออยู่ตลอดเวลา โหยวฉีจึงถามขึ้น “อาเหมิง ทำโปรเจ็กต์เหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
ท่าทางของหนิงเหมิงเหนื่อยล้ามาก เธอพยักหน้าแล้วปล่อยผมตัวเองลง
“เหนื่อยสิ!”
“สงสารแกจัง แล้วเสียใจไหม”
หนิงเหมิงรวบผมยุ่งๆ ไว้หลังใบหูทั้งสองข้าง “ถามฉันดีกว่า ฉันควรเลือกอันไหนระหว่างโดดตึกกับไปเป็นเลขาฯ ของลู่จี้หมิง!”
“แกเลือกอะไรล่ะ”
หนิงเหมิงยืนหยัดราวกับเป็นนักรบผู้กล้ายอมสละชีพ “โดดตึก!”
หนิงเหมิงเล่าสถานการณ์ล่าสุดในแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสองให้เพื่อนฟัง เมื่อโหยวฉีได้ฟังเรื่องที่น่าตื่นเต้น สองมือของเธอก็ทำท่าวิชากรงเล็บกระดูกสีขาว* ขึ้นมาทันที ที่ปลายเล็บเผยให้เห็นความแหลมคมอยู่หลายส่วน
“ฉันอยากจะไปขย้ำเจ้าคนแซ่ชิวจอมพิลึกนั่นแทนแกจริงๆ บังอาจมารังแกแกแบบนี้!”
หนิงเหมิงรู้สึกประทับใจมาก เธอจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่โหยวฉีกางมือออกมาช่วยเธอขย้ำคนก็คือตอนที่เธอเพิ่งเป็นเลขาฯ ของลู่จี้หมิง ในตอนนั้นลู่จี้หมิงทำให้เธอเรียนรู้ชีวิตใหม่เลยทีเดียว ต่อมาเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองอดทนต่อแรงกดดันมากมายมหาศาลของจอมพ่นไฟอย่างลู่จี้หมิงได้อย่างไร
หนิงเหมิงบอกโหยวฉีว่าลู่จี้หมิงคุยกับเธอ ทั้งข่มขู่ทั้งหลอกล่อให้เธอกลับมาทำงานเป็นเลขานุการต่อไป
โหยวฉีอึ้งไปทันที