“เลขาฯ จะหน้าด้านเกาะติดหนึบเจ้านายที่ร่ำรวยก็ไม่แปลก แต่เจ้านายกลับหน้าด้านเกาะติด…นี่มันอะไรกัน อาเหมิง เขาไม่ได้สติไม่ดีใช่ไหม”
หนิงเหมิงโมโห “ทำไมคนที่ประจบฉันมันมีแต่คนบ้าหรือยังไง ฉันมีเสน่ห์ไม่ได้หรือไง!” หลังจากมองตัวเองในกระจก เธอก็เย็นลงทันที “ช่างเถอะๆ เขาน่าจะสติไม่ดีแหละ”
โหยวฉีไม่พอใจอีก “ช่างได้ยังไง แกก็ไม่เลว จัดการหน้าม้า ถอดแว่นออก แกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยรู้ไหม ทำไมแกถึงไม่มั่นใจนัก!”
“…”
ไม่รู้ว่าใครพูดก่อนว่าเจ้านายประจบเธอคือเจ้านายสติไม่ดี
นับตั้งแต่ที่เธอเดินไปกดน้ำแล้ว ‘บังเอิญ’ เจอกับลู่จี้หมิง หนิงเหมิงก็พบว่าแผนการกลั่นแกล้งที่ชิวจวิ้นหลินเตรียมไว้ให้เธอมันรุนแรงมากขึ้นทุกที หลังจากการวิเคราะห์หลายครั้ง เธอมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าลู่จี้หมิงบอกใบ้บางอย่างให้กับชิวจวิ้นหลิน ทำให้ชิวจวิ้นหลินคิดว่าถ้าเขาสามารถบีบเธอให้ออกไปเร็วเท่าไหร่ เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือน รวบรวมแผนกโปรเจ็กต์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เดินสู่จุดสุดยอดของชีวิต
บางครั้งหนิงเหมิงโมโหชิวจวิ้นหลินมากจนอยากจะกลับไปเป็นเลขาฯ ลู่จี้หมิงต่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถึงตอนนั้นจะทำให้เจ้าคนประหลาดตกใจตายก็ให้มันรู้ไป แต่ความคิดเช่นนั้นก็เข้ามาและหายไปอย่างรวดเร็ว
หนทางข้างหน้าอย่างไรก็ต้องเจอคนร้ายสองสามคนที่ให้เธอทดสอบและฝึกฝนความตั้งใจ ไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จได้แบบง่ายๆ ดูอย่างหงอคงที่เดินทางไปกับพระถังซัมจั๋ง ต้องเจอกับภูตผีมารปีศาจมากมายกว่าเธอนัก
หนิงเหมิงบังเอิญพบกับลู่จี้หมิงครั้งที่สองตอนอยู่หน้าลิฟต์ ครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญจริงๆ ห่างจากครั้งแรกเกือบหนึ่งสัปดาห์ ตอนนั้นลู่จี้หมิงกำลังรอลิฟต์อยู่กับสวี่ซือเถียน
หนิงเหมิงยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นสวี่ซือเถียน หนิงเหมิงอดที่จะมองอีกฝ่ายอย่างประเมินมากขึ้นไม่ได้
สวยจริงๆ ด้านหลังชดช้อยงดงาม ท่าทางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองของพวกคนในสังคมชั้นสูง เธอและลู่จี้หมิงยืนคู่กันแล้วเหมาะกับคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘คู่คนงาม’ จริงๆ
เมื่อมองไปที่ด้านหลังอันงดงาม หนิงเหมิงย้อนคิดไปถึงหลายวันก่อนที่หยางเสี่ยวหยางใช้เวลาพักกลางวันมาเม้าท์มอยเรื่องใหญ่กับเธอ
‘อาเหมิง…อาเหมิง คุณจำสวี่ซือเถียนที่ขาวรวยสวยคนนั้นได้ไหม ไม่นานมานี้เธอมาหาประธานลู่ทุกวันเลย แม้แต่สายตาเอียงมากๆ อย่างฉันก็ยังมองออกว่าเธอชอบประธานลู่!’
หนิงเหมิงไม่ทันระวังกัดกระพุ้งแก้มตัวเอง ดูสิ ช่วงนี้เหนื่อยจนผอมเลย เธอดื่มน้ำไปคำเพื่อล้างกลิ่นคาวเลือดในปาก
หนิงเหมิงพูดไปด้วยทัศนคติที่เป็นกลาง ‘ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยและความรู้ก็สูง พูดจาชัดเจนคล่องแคล่วและไม่พูดอ้อนๆ ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับประธานลู่ด้วย พ่อของทั้งคู่เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ฐานะครอบครัวก็เหมาะสมกัน ภาพลักษณ์ภายนอกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสองคนเหมาะสมกันแบบสามร้อยหกสิบองศา คาดว่าลูกๆ ของพวกเขาจะหน้าตาดีสะเทือนโลกตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วล่ะ’
หยางเสี่ยวหยางไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ ‘เชอะ! แค่ดูดีจะมีประโยชน์อะไร สองคนนั้นเป็นพวกเจ้าอารมณ์ ต่อไปก็คงมีลูกเป็นปืนใหญ่!’ หยางเสี่ยวหยางถอนหายใจแล้วพูดต่ออย่างหดหู่ใจ ‘เฮ้อ คนพวกนี้เป็นคนรวยที่อยู่บนยอด อยู่คนละโลกกับพวกมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา นี่แหละสังคมในโลกปัจจุบัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นพวกนายท่าน เราก็เพียงสาวใช้ตัวน้อย?’
คำพูดนี้ทำให้หนิงเหมิงกัดกระพุ้งแก้มอีกครั้ง ถ้ายังกัดต่อไปเธอกลัวว่าตัวเองจะกัดแก้มจนทะลุ
ปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนเธอกินข้าวไม่ลงแล้ว
ต่อมาแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนก็เริ่มกระจายเรื่องซุบซิบนี้ทีละน้อย
ทุกคนบอกว่าสองคนนี้ตัวติดกันแน่น ดูเหมือนน่าจะคบกันจริงๆ บางคนบอกว่าลู่จี้หมิงทำเรื่องลงทุนได้ดี แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจเรื่องผู้หญิง แล้วสวี่ซือเถียนอาจจะเอาเขาไม่อยู่ ดูเวลาเที่ยวก็เที่ยว เวลาสนุกก็สนุกเต็มที่ งานอดิเรกคนโสดที่ชอบทำกันก็ไม่พลาดสักอย่าง คิดจะหยุดซะที่ไหน มีคนบอกอีกว่าเฮ้ คนรวยที่ไหนสนใจเรื่องนี้กันเล่า สนุกแล้วรู้จักกลับบ้านได้ก็พอแล้วไหม
หนิงเหมิงได้ยินเข้าก็เกือบจะกัดกระพุ้งแก้มอีกครั้ง
หยางเสี่ยวหยางพูดถูก คนรวยและคนธรรมดาไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน
หนิงเหมิงยืนอยู่ข้างหลังลู่จี้หมิงและสวี่ซือเถียน กลั้นหายใจเพื่อลดความมีตัวตนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธออยากทำให้ตัวเองโปร่งใสและกลมกลืนไปในอากาศ
เธอรอลิฟต์อย่างเงียบๆ ยืนอยู่ข้างหลังคนสองคนที่มีออร่าเปล่งประกาย รู้สึกว่าตัวเองหดลงจนเล็กนิดเดียว
ในที่สุดลิฟต์ก็มาถึง ลู่จี้หมิงและสวี่ซือเถียนเดินเข้าไปแล้วหันหน้ากลับมาทางหน้าลิฟต์
จังหวะนี้หนิงเหมิงและลู่จี้หมิงก็สบตากัน
สวี่ซือเถียนประกาศความเป็นเจ้าของโดยการคล้องแขนของลู่จี้หมิงหลังจากยืนนิ่งทันที
หนิงเหมิงบังคับไม่ให้ตัวเองดันแว่นตา เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะประตูลิฟต์กำลังปิด หนิงเหมิงยังไม่มีเวลาหันหน้าออกไปด้านประตูลิฟต์ ลู่จี้หมิงก็ยื่นมือออกไปแล้วกระแทกปุ่มเปิดประตูอย่างแรง
ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งด้านหลังหนิงเหมิง
ลู่จี้หมิงกดปุ่มเพื่อเปิดประตูค้างไว้ อาศัยความได้เปรียบจากส่วนสูง เขาปรายตาเหยียดมองไปยังหนิงเหมิงและออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“คุณไปขึ้นลิฟต์ข้างๆ”
หนิงเหมิงโพล่งถามออกไปว่า “ทำไม”
คำตอบของลู่จี้หมิงนั้นสมเหตุสมผล “ผมเห็นคุณแล้วหงุดหงิด”
เชิงอรรถ
* วิชากรงเล็บกระดูกสีขาว คือวิชาวรยุทธ์ที่ทำลายกระดูกของศัตรูด้วยนิ้วมือทั้งสิบ มีที่มาจากคัมภีร์จิ่วอินเจินจิง คัมภีร์วรยุทธ์ที่ปรากฏในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยกของจินยง (กิมย้ง )
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น