อังจงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่มองบน “บอสครับ เลิกเถอะ ถ้าเห็นแก่เสน่ห์ผู้ชายอันน้อยนิดของคุณ โปรเจ็กต์นี้มันคงล่มไปแล้ว!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยหันขวับไปที่เขา “หุบปาก! ฉันไม่หล่อ ไม่เท่หรือไง ไร้ซึ่งความเป็นชายชาตรีงั้นเหรอ”
อังจงยิ้มเย็นอย่างไม่ไว้หน้า “หนุ่มหล่อรอบตัว ผอ. หนิงออกจะเยอะแยะ เข้าใจไหม นี่ คุณดูคนที่เดินมาทางเราคนนั้นสิ รูปร่างหน้าตาออร่าเขาก็ดูกินขาด ทิ้งคุณไปสิบช่วงตัวแล้ว!”
หนิงเหมิงมองไปข้างหน้าตามที่อันจงพูด เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
ลู่จี้หมิงสองมือล้วงกระเป๋าวางมาดเท่เดินตรงเข้ามาราวกับนายแบบนานาชาติที่เดินอยู่บนรันเวย์
เขาเดินมาข้างหนิงเหมิง ศีรษะไม่หัน สายตาไม่สั่นไหว ฝีเท้าไม่หยุด เหมือนเขาไม่รู้จักหนิงเหมิงแล้วเดินผ่านเธอไป
หนิงเหมิง “…?”
นี่กำลังทำเป็นเท่แบบไหนกัน
หนิงเหมิงคร้านที่จะไปมองคนบ้านั่น เธอหันไปยิ้มกับอันจงแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเขาคนนั้นจะหน้าตาเป็นยังไงฉันก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เราไม่สนิทกัน”
ดวงตาหลิ่วหมิ่นฮุ่ยมีประกายความหวังฉายขึ้นมาอีก “อันที่จริงมองดีๆ รูปร่างหน้าตาผมก็ใช้ได้นะ…”
คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ลู่จี้หมิงที่เพิ่งเดินผ่านไปจู่ๆ ก็หันหลังกลับมา
เขาเดินมาตรงหน้าหนิงเหมิง เอ่ยถามออกมาอย่างให้คนอื่นเข้าใจผิด “เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันไหม”
หนิงเหมิง “…?”
กลับด้วยกันกับลุงนายสิ!
หนิงเหมิงรู้ว่าลู่จี้หมิงตั้งใจถามแบบนั้นเพื่อแก้แค้นที่เมื่อสักครู่เธอบอกว่าไม่สนิทกับเขา
เธอไม่สนใจลู่จี้หมิงแล้วหันไปอธิบายให้หลิ่วหมิ่นฮุ่ยฟัง “ฉันอยู่ห้องตรงข้ามเขา อย่าเข้าใจผิดนะคะ!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยพูดด้วยความน้อยใจและไม่แน่ใจ “แต่คุณเพิ่งบอกว่าคุณสองคนไม่สนิทกันนิ…”
หนิงเหมิงรีบถามขึ้นว่า “คุณสนิทกับเพื่อนบ้านไหม”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยได้ฟังประโยคนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที จริงด้วย นี่มันสมัยไหนแล้ว ใครจะสนิทกับเพื่อนบ้านกันอีก หากเป็นอย่างงั้นก็ผิดปกติ ไม่ทันสมัยแล้วอะสิ
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยหันกลับมาถามลู่จี้หมิงนิ่งๆ ว่า “ผมโสด คุณโสดหรือเปล่า”
ลู่จี้หมิงโต้ตอบทันทีว่า “โสดสิ แต่คุณอย่ามาคิดอะไรกับผมนะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยไม่สนใจเขา หันกลับไปมองหนิงเหมิง “ถึงแม้เขาจะโสดแล้วคุณก็โสด แต่ว่าทั้งสองคนไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน ส่วนผมโสดคุณก็โสด…ก็เป๊ะเลย! หนิงเหมิง ผมจะเริ่มจีบคุณแล้วนะ พรุ่งนี้จะส่งดอกไม้มาให้คุณ!” หลิ่วหมิ่นฮุ่ยมีความสุขกระชุ่มกระชวยขึ้นทันที พูดว่าจะจีบหนิงเหมิงต่อหน้าลู่จี้หมิงที่ทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ด
อันจงลากหลิ่วหมิ่นฮุ่ยออกไป “บอส ผมว่าเราอย่าทำเรื่องขายหน้าเลย เพื่อนบ้านของ ผอ. หนิงยังคงอยู่ที่นี่นะ” เขาลากหลิ่วหมิ่นฮุ่ยออกไป ขณะเดินอยู่ก็ตะโกนบอกกับหนิงเหมิงว่า “อย่าจริงจังนะนายทุน เขาต้องออกอาการเป็นบ้าเดือนละสองสามครั้ง!”
สิ้นสุดเสียงนั้นอันจงก็ลากหลิ่วหมิ่นฮุ่ยเข้าไปในสถานีรถไฟใต้ดิน
เหลือเพียงแต่หนิงเหมิงและลู่จี้หมิงจ้องกันไปจ้องกันมา
ในใจของหนิงเหมิงอยากค้นหาปมข้อสงสัยเล็กๆ ที่ลู่จี้หมิงพูดว่าเขายังโสด
เขายังไม่ได้พิชิตใจสาวในฝันของเขาอีกเหรอ
ประสิทธิภาพต่ำมากเลย ไม่ได้เรื่องจริงๆ
ลู่จิ้หมิงเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “คุณบอกว่าคุณไม่สนิทกับผม คุณหมายความว่าอะไรกันแน่”
หนิงเหมิงยังคงนิ่ง “หมายความตามที่พูด”
“พูดโกหกหน้าตายเลยนะ”
หนิงเหมิงยิ้มแล้ว “เอาล่ะ ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ คิดว่าเราทั้งสองสนิทสนมกันใช่รึเปล่า งั้นคุณลองบอกมาซิว่าความชอบส่วนตัวของฉันคืออะไร ฉันชอบสีเฉดไหน แล้วก็ฉันชอบอะไรมากที่สุด เกลียดอะไรมากที่สุด”
คำถามที่หนิงเหมิงรัวออกมาเป็นชุดทำให้ใบหน้าลู่จี้หมิงที่บูดอยู่แล้วยิ่งบูดหนักจนเหม็นเปรี้ยวไปเลย
“ไม่รู้สินะ งั้นเรียกว่าสนิทไหม” หนิงเหมิงตอบโต้ออกไปแล้วก็หันหลังเดินกลับไปที่สำนักงานก่อน
ลู่จี้หมิงยืนอยู่ที่เดิมมองแผ่นหลังของหนิงเหมิง แล้วก็พบว่าเขายังไม่สนิทสนมกับเธอจริงๆ
เชิงอรรถ
** อาศัยไฟไหม้บุกปล้น เป็นสำนวน หมายถึงอาศัยจังหวะที่ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง มีที่มาจากตำราสามสิบหกกลยุทธ์ กลยุทธ์ข้อที่ห้า เมื่อศัตรูได้รับความเสียหายหนัก จงอาศัยจังหวะนี้เพื่อเอาชนะ กองกำลังของผู้ที่เข้มแข็งกว่าย่อมเอาชนะผู้ที่อ่อนแอได้
* ไข่ตะพาบ หมายถึงสารเลว เนื่องจากตะพาบเป็นสัตว์อายุยืน หนิงเหมิงจึงเปรียบว่าเป็นไข่พันปี
* มาจากสำนวน ‘ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น’ หมายถึงออกแรงทำทุกอย่าง แต่สุดท้ายผู้อื่นได้รับประโยชน์ ตัวเองกลับไม่ได้อะไร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.