ดูจากแนวโน้มก็เหมือนจะดี แต่แล้วหนิงเหมิงสบายใจได้ไม่นานก็ต้องกลับมาอึดอัดใจอีก
หลายวันต่อมาเธอมาถึงบริษัทได้ไม่นาน ยังไม่ได้ข่าวคราวจาก ผอ. เหริน เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากซีเหลียนก่อน
น้ำเสียงตื่นเต้นของซีเหลียนลอดออกมาจากโทรศัพท์ “อาเหมิง ผอ. ชิวของคุณเป็นคนดีนะ! ฉันโทรมาบอกคุณว่าเขาได้ตกลงเงื่อนไขของความร่วมมือกับฉันแล้ว และฉันก็ให้โปรเจ็กต์ที่มีโอกาสลงทุน ส่วนด้าน ผอ. ชิวก็เดินเรื่องเงินทุนจากบริษัทของคุณ เรื่องส่วนแบ่ง สัญญาแบ่งสี่สิบหกสิบ ฉันสี่สิบบริษัทของคุณหกสิบ จากนั้นฉันจะเซ็นสัญญาส่วนตัวกับ ผอ. ชิวเพิ่มอีกฉบับ ฉันเอาสี่สิบของฉันแบ่งออกมาสิบแล้วให้เขาแจกจ่ายเป็นโบนัสให้เพื่อนในแผนก รวมทั้งคุณด้วย…”
ซีเหลียนยังคงพูดต่อไป แต่หนิงเหมิงโมโหจนเกือบจะขาดใจตาย
“ซีเหลียนเดี๋ยวก่อนนะ!” หนิงเหมิงขัดจังหวะซีเหลียนที่ตื่นเต้นเพราะคิดว่าได้เจอคนดี “เมื่อครู่คุณพูดว่า ผอ. ชิว?”
ปลายสายเสียงอึ้งๆ ไป “ใช่ ชิวจวิ้นหลิน ผอ. ชิวเจ้านายของคุณ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนที่ตำแหน่งสูงกว่าคุณไง คุณบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าคุณเป็นคนใหม่ในแผนกและความสามารถยังไม่พอ ผอ. ชิวก็พูดอย่างนั้น เขาบอกว่าคุณเป็นคนไปคุยกับเขาเอง ตอนนี้คุณไม่สามารถดำเนินการโปรเจ็กต์ได้เพราะคุณไม่มีอำนาจเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งหมด”
หนิงเหมิงกำมือถือกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เธอรู้สึกคิดผิดจริงๆ ที่ใส่อีเมลของซีเหลียนลงในแผนธุรกิจ หากไม่ใช่เพราะตรงนี้ คนแซ่ชิวไม่มีทางติดต่อซีเหลียนเพื่อป้อนคำหวานที่มีแต่ยาพิษให้อีกฝ่ายได้ เธอเสียใจที่ไม่ได้ระบุว่าผู้อำนวยการที่เธอไหว้วานแซ่เหริน ไม่ใช่แซ่ชิว เดิมเธอคิดว่าโปรเจ็กต์ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง จึงไม่อยากลาก ผอ. เหรินเข้ามาเกี่ยวข้อง รอให้ทุกอย่างแน่นอนแล้วเธอก็จะแนะนำให้เขากับซีเหลียนรู้จักกันอย่างเป็นทางการ แต่ไม่คิดว่าเพียงแค่รอยต่อเล็กๆ เช่นนี้ทำให้คนร้ายไร้ยางอายอย่างชิวจวิ้นหลินใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้โดยไม่คาดคิด
เขาถึงกับหน้าด้านเอาผลประโยชน์สิบเปอร์เซ็นต์จากซีเหลียน! แบ่งเพื่อนร่วมในแผนก บ้านพ่อมันสิ ด้วยนิสัยเลวๆ ของจอมกลั่นแกล้งแซ่ชิว สุดท้ายสิบเปอร์เซ็นต์นี้ก็จะเข้ากระเป๋าคนแซ่ชิวทั้งหมด!
หนิงเหมิงรีบบอกซีเหลียนว่า “ซีเหลียน ส่วนแบ่งรายได้นี้ไม่สมเหตุสมผล คุณอย่าทำอะไรนะ ตอนนี้ฉันต้องจัดการธุระก่อน คุณรอฉันโทรบอกข่าวนะ”
น้ำเสียงซีเหลียนทางโทรศัพท์ลังเลเล็กน้อย เหมือนกับกำลังบอกว่าสัดส่วนแบบนี้เธอก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน แต่หนิงเหมิงวางสายไปแล้ว
ขณะนี้หนิงเหมิงรู้สึกว่าเลือดขึ้นตาขึ้นหู และเธอก็ได้ยินเสียงการลับมีดจากในแก้วหูของตัวเอง
เธออยากจะไปฆ่าไอ้เลวชิวจวิ้นหลินให้ตาย!
ครั้งนี้หนิงเหมิงโกรธมาก
เธออดทนต่อการกลั่นแกล้งมากมายที่ชิวจวิ้นหลินจัดมาให้ พวกนั้นยังไม่เท่าไหร่ เธอยังรับมือได้ แต่เธอไม่สามารถทนต่อการหน้าอย่างลับหลังอย่างของวายร้ายชิวจวิ้นหลินได้ อย่างแรกเป็นเพียงเรื่องของความใจแคบ แต่อย่างหลังเป็นเรื่องทางศีลธรรมแน่นอน
เธอไม่สามารถปล่อยให้คนไร้คุณธรรมปิดบังหลอกลวงคนอื่นตามอำเภอใจแบบนี้ได้!
ยังไงซะหนิงเหมิงก็เป็นเลขาฯ ให้กับคนที่จัดการยากที่สุดในโลกมาสามปี และความสามารถในการควบคุมอารมณ์กับสีหน้าก็ได้รับการฝึกฝนให้สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันเป็นสิบเท่า
แม้ว่าในใจอยากจะฆ่าชิวจวิ้นหลินให้ตายแล้วค่อยว่ากัน แต่สติสัมปชัญญะบอกให้หนิงเหมิงตัดสินใจเจรจาก่อนออกรบ
เธอไปที่ห้องทำงานของชิวจวิ้นหลินก่อนและถามเขาว่าไหนว่าจะไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมไม่ใช่หรือ
ชิวจวิ้นหลินเอนหลังพิงเก้าอี้ แสดงท่าทางนายใหญ่ได้เยอะกว่าลู่จี้หมิงเสียอีก
“ผมเป็นผู้รับผิดชอบแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสอง หรือคุณเป็น?”
ชิวจวิ้นหลินถามหนิงเหมิงด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่สุดในมวลมนุษย์ที่หนิงเหมิงเคยเห็น
“ผมเป็นคนรับผิดชอบใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นทำหรือไม่ ผมก็เป็นคนตัดสินใจ ยังมีปัญหาอะไรไหม” ชิวจวิ้นหลินยังคงยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เผยความรังเกียจและเสียดสีออกมา “หนิงเหมิง คนเราอยู่ในสังคมทำงาน มีหนี้ฉันต้องชดใช้! เมื่อคนเขายื่นมะละกอให้ฉัน ฉันจะตอบแทนด้วยหยกงาม แต่ถ้าคนเขาแทงฉันลับหลัง ฉันก็ต้องฉวยโอกาสวางยาพิษเขาด้วย!”
หนิงเหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอไม่เคยเห็นคนที่เป็นโรคหวาดระแวง* หนักขนาดนี้มาก่อน เขามโนเป็นละครฉากใหญ่ว่าเธอเคยคิดจะแทงเขาลับหลังเองได้ยังไง! เขากล้ายกตัวเองขึ้นเป็นพระเอกได้ยังไง!