บทที่ 3 ฟุ้งซ่าน
พักนี้เพื่อนรักทั้งสองคนของฉันมีอาการ ‘เควินฟีเวอร์’ กันอย่างหนัก จนแฟนคลับตัวจริงอย่างฉันถึงกับทำตัวไม่ถูก
เควินยังไม่ได้คืนโปรแกรมสำเร็จรูปที่ยืมฝ้ายไป แต่ตอนนี้ต้ากับฝ้ายจะส่งอีเมลไปทักทายเขาแทบทุกวัน เควินพยายามตอบกลับอย่างสม่ำเสมอแม้จะออกตัวว่าไม่ค่อยมีเวลาว่าง บางครั้งพวกเขาก็ออนไลน์คุยกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง โทรหากันบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้ากับฝ้ายช่วยกันหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายสองคนที่ขับรถตามเควินวันนั้นมาให้ ก็ยิ่งทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้าไปขอคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดของทางนิติบุคคลของคอนโดฯ เพื่อสังเกตดูพฤติกรรมของชายต้องสงสัยในวันนั้น แล้วเอาทะเบียนรถที่มีไปค้นข้อมูล สืบจนรู้ว่าทั้งสองคนเป็นใครมาจากไหน แล้วก็สรุปได้ในที่สุดว่าพวกเขาน่าจะไม่ใช่คนที่มีพิษภัยอะไร และเป็นแฟนคลับของเควินจริงๆ ไม่ใช่บุคคลที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงกับเควินอย่างที่เรากลัว ถึงแม้จะเป็นแฟนคลับที่โรคจิตไปหน่อยก็เถอะ เอาจริงๆ ฉันก็อาจจะคลั่งไคล้เควินในระดับเดียวกับพวกนั้นก็ได้…
ด้วยเหตุผลทั้งหมด ทำให้ต้ากับฝ้ายมีความสนิทสนมกับเควินในระดับที่ทำให้ฉันได้แต่อิจฉา ลึกๆ แล้วฉันก็อยากร่วมสนิทด้วย แต่ไม่รู้ทำไมต่อมกระดี๊กระด๊าถึงไม่ยอมทำงานเลย จะมีก็แต่ต่อมอารมณ์แปรปรวนที่หลั่งความขี้อิจฉากับความหงุดหงิดออกมาแทน ทุกวันนี้จึงได้แต่เฝ้ามองต้ากับฝ้ายสนุกกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับเควินอยู่ห่างๆ เหมือนตัวเองเป็นแค่คนนอกเพราะมันไม่มีช่องว่างให้แทรกเข้าไปได้เลย
ทั้งที่ฉันชอบบอกตัวเองว่าให้เชื่อในสิ่งที่ทำให้สบายใจเอาไว้ แต่มนุษย์อารมณ์อ่อนไหวที่บางครั้งก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแบบฉันกลับมีวิธีคิดแปลกๆ เมื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต มีแต่ความหวาดระแวงและไม่มั่นใจ ในขณะที่ตอนนี้ต้ากับฝ้ายคงไม่รู้สึกเลยว่าฉันมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่พบกับเควินในวันนั้น จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพรจากปาฏิหาริย์ที่ได้มาให้คุณหรือให้โทษกันแน่
พักนี้ฉันคิดถึงเควินแบบแปลกๆ อย่างหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ คิดเลยเถิดไปไกลเกินกว่าที่เคยจินตนาการอย่างยั้งตัวเองไม่อยู่ มันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่เคยมีต่อเขาแบบแฟนคลับกับศิลปินเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคือความรัก ความหลง หรือว่าความสับสนในชีวิตกันแน่ แต่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติมากขึ้นทุกขณะเวลาคิดถึงเรื่องเควิน ความฝันในแต่ละคืนก็มีแต่เขาเต็มไปหมด เหมือนความปรารถนาในส่วนลึกกำลังพรั่งพรูล้นเอ่อจนไม่อาจสะกดกลั้น เป็นอารมณ์ความรู้สึกต่อเควินที่เข้มข้นรุนแรงกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัวจนน่าตกใจ
ฉันเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่อาจเป็นอาการผิดปกติทางจิตที่ควรรีบไปพบแพทย์ เวลาที่คิดถึงและโหยหาเควินขึ้นมาอย่างผิดปกติขึ้นมาฉันจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังป่วยเป็นโรคจิตเภทชนิดใดชนิดหนึ่ง ถึงจะพยายามเตือนตัวเองให้มีสติสักแค่ไหน แต่ก็ยังคงคิดฟุ้งซ่านถึงเขาไม่เลิก จนฉันเริ่มกลัวตัวเองมากขึ้นและมากขึ้น
แต่ขืนเล่าให้ใครฟังคงไม่วายโดนหัวเราะเยาะและหาว่ามันเป็นแค่อาการของคนอ่อนหัดที่ไม่เคยมีความรัก พอตกหลุมรักใครคนหนึ่งเข้าก็เลยไปไม่เป็นและควบคุมตัวเองไม่ได้ แค่ได้ใกล้ชิดกับศิลปินที่ตัวเองหลงใหลเพียงวันเดียวก็เพ้อเจ้อจนประสาทกลับไปหมด
ฉันได้แต่หวังว่าที่ตัวเองอาการหนักขนาดนี้เป็นเพราะอยู่ๆ ก็ได้เจอและใกล้ชิดกับเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ตื่นเต้นตกใจจนเสียขวัญไปหมด แล้วอีกไม่นานก็จะปรับสภาพได้เอง และความรู้สึกอ่อนไหวจนเกินเหตุเหล่านี้ก็จะจางหายไป…
จริงๆ ฉันควรปรึกษาเพื่อน แต่แค่คิดว่าจะคุยเรื่องพวกนี้ให้ต้ากับฝ้ายฟังขนก็ลุกชันไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกต่อต้าน ต่อให้สนิทกันมากแค่ไหนแต่คนอย่างฉันก็ไม่ใช่คนเปิดเผยที่จะพูดเรื่องแบบนี้กับใครได้ง่ายๆ แต่ในที่สุดประสบการณ์ครั้งนี้ก็สอนฉันให้รู้ว่าคนเราจำเป็นต้องมีใครสักคนไว้คอยพูดทุกอย่างด้วยได้อย่างไม่ต้องระวัง ไม่อย่างนั้นก็ต้องพึ่งพาจิตแพทย์สถานเดียว
หรือว่าตอนนี้ฉันควรจะรีบหาแฟนสักคนจริงๆ เอาคนที่ธรรมดาเหมือนกัน เข้ากันได้ทุกเรื่อง และยอมรับได้ทุกอย่างที่ฉันเป็น แต่ก่อนอื่นก็คงต้องตัดความรู้สึกฟุ้งซ่านเพราะเควินทิ้งก่อน อย่างน้อยก็ควรลดอาการคิดถึงเขาอย่างรุนแรงผิดปกติตอนนี้ลงให้ได้สักครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ทำเพื่อสุขภาพจิตของตัวเอง ฉันก็ควรกลับมามีสติเพื่อพ่อแม่และนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของฉันด้วย