‘อาจารย์ขา ดูนี่สิคะ เควินมีข่าวกับนาตาลีอีกแล้ว’ นักเรียนของฉันเอาหนังสือพิมพ์ข่าวบันเทิงมาให้ดูช่วงพักกลางวันเมื่อวานนี้ ตอนนั้นฉันได้แต่ยิ้มกับนักเรียนเหมือนไม่ใส่ใจ ในขณะที่ความหึงหวงแล่นพล่านจนปั่นป่วนในกระเพาะอาหาร… พอได้สติก็ตกใจมากที่ตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้น
ในที่สุดฉันอาจจะเป็นบ้าไปจริงๆ ก็ได้ ถ้าหากต้องปั้นหน้าโกหกใครๆ และเก็บกดความรู้สึกทั้งหมดนี้เอาไว้ข้างในคนเดียวจนล้นทะลัก เพราะฉันคิดว่าอาการตอนนี้มันอาจจะหนักพวกแฟนคลับโรคจิตที่ชอบส่งแหวนหมั้นและชุดแต่งงานไปให้ศิลปิน หรือชอบประท้วงโดยการทำร้ายร่างกายตัวเองต่อหน้าสาธารณชน ไม่ก็ส่งจดหมายลาตายไปให้ดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ฯลฯ
แต่ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น และไม่อยากให้ตัวเองเป็นหนักยิ่งกว่านั้น เพราะมันน่ากลัวเกินไป ฉันจะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ซึ่งอาจต้องเลิกคิดถึงเรื่องเควินโดยเด็ดขาด จะเอาอนาคตอันสดใสของตัวเองมาทิ้งเพราะการหมกมุ่นทุรนทุรายถึงผู้ชายคนเดียวไม่ได้ ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะสายเกินไป
ตอนนี้ฉันถึงขนาดพาลโกรธไปถึงเครือข่ายมือถือที่เคยส่งข้อความมาบอกให้ฉันขอพรในคืนนั้น ซึ่งพอฉันอธิษฐานแล้วก็ได้เจอกับเควินจริงๆ แล้วก็เป็นบ้า… ถ้าไม่ได้ขอพรแบบนั้นไปก็อาจจะไม่ต้องพบกับเควินอย่างใกล้ชิดจนทำให้เสียสติ แล้วตอนนี้ฉันก็คงยังเป็นแค่แฟนคลับธรรมดาคนหนึ่งที่ปลาบปลื้มศิลปินในดวงใจอย่างคนปกติทั่วไป แทนที่จะเป็นบ้า
“ปู นั่นทำอะไรอยู่ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” ฝ้ายเคาะประตูถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงดังโครมครามจากในห้องนอนฉัน
ฉันชะงักมือที่บรรจงเรียงซ้อนรูปภาพเควินทั้งหมดไว้บนเตียงกว้าง “ไม่ได้มีอะไร ฝ้ายเข้ามาสิ”
เป็นไปตามคาด ฝ้ายเข้ามายืนตะลึงมองพฤติกรรมของฉันอย่างไม่เชื่อสายตา ข้าวของเกี่ยวกับเควินทุกอย่างถูกกองรวมกันอยู่บนเตียง จนห้องฉันโล่งโปร่งตาขึ้นเป็นกอง
“ปู… นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร แค่ทำความสะอาดห้อง” ฉันยิ้มขันกับอาการของอีกฝ่าย แม้จะสะเทือนใจอยู่ลึกๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าอาการตื่นตระหนกของฝ้ายช่วยสะกิดให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาอีกหน่อย ลืมตาตื่นจากการหลงละเมอเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
“อ๋อ รู้แล้ว ปูได้รูปใหม่ของเควินมาใช่ไหมล่ะ ก็เลยเอารูปเก่าออก หรือแค่อยากแกะออกมาติดใหม่เพื่อเปลี่ยนมุม…”
“เปล่าฝ้าย ไม่ใช่อย่างนั้น คือว่าตอนนี้ฉันเปลี่ยนมาชอบ เดวิด เบ็กแฮมแล้ว ก็เลยต้องเก็บรูปพวกนี้ไว้ก่อน” มุกนี้เพิ่งคิดได้เมื่อประมาณสองวินาทีก่อน
ฝ้ายเบิกตาโตอีกครั้ง แต่สีหน้างงงันของเธอดูน่ารักอย่างประหลาดจนฉันอดขำออกมากิ๊กหนึ่งไม่ได้
“ตอนนี้ชอบเบ็กแฮมมากกว่าเควินอีกเหรอ”
“เอ่อ ก็ อื้อ ใช่…” ฉันตอบอึกอัก
ฝ้ายวิ่งปรู๊ดหายไปอย่างรวดเร็วก่อน แล้วลากเอาต้าเข้ามาด้วยอีกคน ซึ่งฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับการทำแบบนี้เลยจริงๆ ก็ต้ามันน่ากลัว
“อย่าบอกว่าแกคิดจะโอนกรรมสิทธิ์ความชอบของตัวเองมาให้พวกเรา เพราะเห็นว่าตอนนี้เรากำลังเครซี่เควิน” ต้าถามด้วยสีหน้าขบขัน ดวงตาเป็นประกาย ในขณะที่ฉันได้แต่หัวเราะขื่น “ตอนที่แกชอบเควินพวกเราไม่ได้พิศวาสไปด้วย แต่พอพวกเราเริ่มหลงเสน่ห์เขา แกก็เลิกชอบไปดื้อๆ เนี่ยนะ”
“เรื่องของฉัน” ฉันเริ่มเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ต้ากระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง ขมวดคิ้วมองมาด้วยสายตาจ้องจับผิดอย่างหนัก ชนิดที่ว่าทำให้ฉันอึดอัดจนหายใจลำบาก
“บอกมาตามตรงเถอะว่าแกเกิดนึกอะไรขึ้นมาถึงได้ทำแบบนี้ แล้วไอ้มุกเดวิด เบ็กแฮมอะไรนั่นก็ไม่ต้องเอามาอ้างกับฉันเลยนะ ไม่หลงเชื่อง่ายๆ อย่างฝ้ายหรอก”
ฝ้ายหันไปค้อนเคืองต้าทีหนึ่ง
“คือว่า…” ฉันตั้งท่าอธิบายอย่างจริงจัง “ฉันแค่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูภูมิฐานสมกับการเป็นครูมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะการไปมัวเพ้อถึงดารามันเริ่มมีผลกระทบต่อการทำงานแล้ว ตั้งแต่เจอนักเรียนตอนไปคอนเสิร์ตฉันก็ถูกแซะถูกแซวมาตลอดจนทำตัวไม่ถูก แถมยังมีคนหาว่าฉันตอแหลที่แอ๊บมาดเข้มตอนอยู่โรงเรียน แต่แอบไปกรี๊ดผู้ชายแบบเสียสติอยู่หน้าเวที ไม่ว่าจะอธิบายยังไงก็ไม่มีใครฟัง เด็กๆ ก็ชอบเอาเรื่องของเควินมากรี๊ดกร๊าดกับฉันให้ครูคนอื่นเห็นบ่อยๆ มันเลยเสียการปกครองไปหมดตอนนี้”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ” ต้าพึมพำด้วยท่าทางคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่าจะคล้อยตามเหตุผลของฉันบ้างแล้ว
“อื้อ” ฉันพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง รู้สึกสบายใจที่อย่างน้อยเหตุผลของฉันก็ไม่ใช่เรื่องโกหก
“แล้วแกจะไม่ตอบเมลที่เควินส่งมาเลยหรือ อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อน”
“ทำไมฉันต้องตอบ ก็เขาส่งมาให้พวกแกสองคนไม่ใช่รึไง แล้วช่วงนี้งานฉันก็เยอะมากด้วย ไม่มีเวลาทำอะไรแบบนั้นหรอก”
ต้านิ่วหน้ามองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์แบบที่ฉันไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนหายใจติดขัดอีกแล้ว
“ฉันว่า…แกดูฟุ้งซ่านแล้วก็ดูสับสนในชีวิตแปลกๆ” ต้าสรุปแล้วเด้งตัวลุกจากที่นอนอย่างคล่องแคล่ว
กรี๊ดดด ทำไมมันถึงฉลาดอย่างนี้เนี่ย!
“แต่อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เควินจะแวะมาที่นี่ แกคงไม่ได้คิดจะตัดเป็นตัดตายชนิดที่ว่าจะไม่ยอมพบหน้าเขาอีกเลยใช่ไหม”
ได้ยินดังนั้นแล้วฉันก็ใจหายวูบจนอึ้งงันไป ความรู้สึกหวั่นไหวแบบนี้มันน่ารำคาญจริงๆ แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้าให้เรียบเฉยที่สุด “ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะออกไปไหนรึเปล่า”
“อย่ามาทำเป็นเย็นชาหน่อยเลยยายปู ฉันว่าพรุ่งนี้พอได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งแกก็คงเสียอาการเหมือนเดิมนั่นแหละ