ฉันจะไม่ยอมเสียอาการตามที่ยายต้าคาดการณ์ไว้เด็ดขาด เพราะฉันจะไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเควินอีกต่อไปแล้ว ฉันจะตั้งสติให้ดี จะแข็งแกร่ง และเอาชนะความอ่อนไหวของตัวเองให้ได้เลยคอยดู
ตอนนี้ฉันมีอยู่แค่สองทางเลือก คือยับยั้งความรู้สึกที่มีต่อเควินไว้ให้ได้แล้วก็ตัดใจจากเขาซะ กับรีบไปรักษาอาการทางจิต ซึ่งแน่นอนว่าฉันยังไม่อยากไปพบจิตแพทย์
แต่ทำไมฉันต้องตื่นเต้นและคิดถึงแต่เรื่องเควินจะมาที่นี่ตลอดเวลาขนาดนี้ด้วยเนี่ย ดังนั้นเมื่อฉันพบว่าตัวเองพยายามปล่อยวางแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ จึงต้องหาสิ่งอื่นมาดึงความสนใจ…
ฉันรวบรวมสมาธิเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจโดยการโทรศัพท์ถึงแม่ แล้วก็พบว่ามันช่วยบรรเทาความฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี แม่บอกให้แวะไปเยี่ยมป้ามณี ญาติผู้ใหญ่ที่ฉันเคยอาศัยอยู่ด้วยสมัยที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ใหม่ๆ เพราะตอนนี้ป้ามณีอยู่คนเดียว เนื่องจากลูกสาวของป้ามณีที่อายุน้อยกว่าฉันสองสามปีเพิ่งหนีตามผู้ชายไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
ไม่อยากเชื่อเลยว่าสมัยนี้ยังมีผู้หญิงที่ตัดสินใจหนีตามผู้ชายอยู่อีก ฉันจำได้ว่า ‘พิมล’ ลูกสาวของป้ามณีเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยมาก ตอนฉันอาศัยอยู่ด้วยเราไม่ค่อยสนิทกัน เพราะพิมลชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวเงียบๆ เพื่อทำงานศิลปะที่เธอหลงใหล ฉันไม่ค่อยเข้าใจความเป็นพิมลมากนัก แต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะกล้าทำเรื่องแบบนั้น… หรือจริงๆ แล้วอาการของฉันที่เกิดจากเควิน ไม่ได้ผิดปกติจนอาจเป็นโรคจิตเภทอย่างที่นึกกลัว เพราะการตกหลุมรักใครสักคนจนขาดสติ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปและยากที่จะควบคุมความรู้สึก เพียงแต่ว่าอาการของฉันอาจจะออกแนวเก็บกดมากเกินไปเท่านั้นเอง…
ตกลงว่าวันนี้ฉันจะออกไปเยี่ยมป้ามณี แต่ก่อนออกไปต้องเขียนจดหมายแนบรูปถ่ายเพื่อส่งถึงพ่อกับแม่ด้วย เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทั้งสองคนคงดีใจถ้าได้เห็นรูปถ่ายที่ฉันดูสุขภาพดีมีความสุขแบบนี้ มันเป็นรูปที่เควินถ่ายให้ตอนเขามาขอความช่วยเหลือจากเราในวันนั้น เป็นรูปที่มีฉันกับต้าและฝ้ายนั่งเรียงกันที่โซฟา ตอนที่ถูกเควินมองผ่านเลนส์กล้องดิจิตอล ฉันตื่นเต้นมาก ประหม่าจนมือเย็นไปหมด แล้วก็เขินจนแก้มแดงเปล่งปลั่งแบบมีเลือดฝาดอย่างเป็นธรรมชาติ ดูสุขภาพดีสุดๆ ไปเลยไหมล่ะ
“นั่นแกจะไปไหน เควินกำลังมาแล้วนะ เขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้” ต้าที่ตอนนี้มาอยู่ในห้องฝ้ายแล้ว ร้องโวยวายออกมาทันทีเมื่อเห็นฉันเดินออกจากห้องนอนในลักษณะที่เดาได้ว่ากำลังจะออกไปข้างนอก
“สรุปว่าตอนนี้ปูไม่ได้ชอบเควินแล้วจริงๆ เหรอ” ฝ้ายทำหน้าเศร้า เสียงหวานใสฟังดูหดหู่จนฉันพลอยห่อเหี่ยวไปด้วย
ฉันฝืนยิ้มอย่างที่ทำให้รู้ตัวว่ากำลังอาการหนัก… “แม่บอกให้ไปเยี่ยมป้าที่บ้าน แกมีปัญหานิดหน่อย แล้วฉันก็ไม่ได้ไปเจอป้าตั้งนานแล้วด้วย”
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุยของเรา หัวใจฉันระทึกขึ้นมาอย่างน่ากลัวทันที เพราะเดาได้ว่าเป็นเควินแน่นอน
“มาเร็วจัง” ต้าอุทานออกมาด้วยท่าทางดีใจ หล่อนหันมาทางฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนดีใจที่ตัวเองเป็นผู้ชนะ คงคิดว่าพอเห็นหน้าเควินแล้วฉันจะระทดระทวยและยอมเปลี่ยนใจไม่ไปหาป้าแล้ว
ต้าไปเปิดประตูให้เควินซึ่งมาพร้อมกับน้องชายของเขา ฉันเคยเห็น ‘เจอเรมี่’ ตามหน้านิตยสารกับโฆษณาทีวีบ่อยๆ ตัวจริงเขาดูทะเล้นสดใส และน่าจะช่างพูดกว่าพี่ชายหลายเท่า
“คุณปูจะออกไปไหนหรือครับ” เควินถามเมื่อเห็นฉันยืนถือรองเท้าและกระเป๋า ทำท่าเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากก็โดนต้าพูดตัดหน้า
“จริงๆ ธุระแกก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรนี่นา เอางี้ ฉันสัญญาว่าพรุ่งนี้จะไปหาป้าแกเป็นเพื่อน วันนี้อยู่คุยกับเควินก่อนดีกว่า นะ” ต้าพูดพลางเดินมาแย่งรองเท้ากับกระเป๋าฉันไปหน้าตาเฉย แล้วก็ยื่นหน้ามากระซิบขู่ที่ข้างหู “อย่าได้ขัดใจฉันเชียวนะ!”
เควินเอาโปรแกรมสำเร็จรูปที่ยืมไปมาคืน แล้วเอาบัตรวีไอพีของคอนเสิร์ตครบรอบยี่สิบปีของค่ายเพลงต้นสังกัดมาให้เราเป็นการขอบคุณ ตอนที่เควินยื่นบัตรให้นั้น ฉันรีบเอื้อมมือไปรับอย่างไวด้วยความลืมตัว แววตาที่ใช้มองเขาเป็นประกายระยับด้วยความยินดี แต่มันก็ดับวูบไปทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นแววขบขันของยายต้า สีหน้าหล่อนเหมือนกำลังบอกว่า เห็นไหมล่ะ ฉันว่าแล้ววว…
ครั้งก่อนเควินก็เห็นแล้วว่าฉันไม่ค่อยพูด เพราะหนักไปทางชอบคิดในใจ… คราวนี้เขาก็คงไม่ผิดสังเกตเท่าไหร่ที่ฉันเอาแต่เงียบกริบ แต่เจอเรมี่ดันมีความมุ่งมั่นจะที่จะชวนฉันคุยมากเสียจนต้ากับฝ้ายมองมายิ้มๆ อย่างจับผิด แล้วก็หยอกเย้าเป็นระยะกันจนฉันปั้นหน้าไม่ถูก ฉันนึกอยากขอตัวออกไปหาป้าแต่ก็โดนต้ากับฝ้ายกันท่าจนไม่มีจังหวะให้ทำได้
เจอเรมี่อายุยี่สิบปี เขาพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งหูเล็กน้อย รูปลักษณ์โดยรวมดูไม่ค่อยแตกต่างจากเควินที่อายุยี่สิบสามปีมากนัก พวกเขาเป็นพี่น้องที่มีความแตกต่างทางสรีระค่อนข้างน้อย แต่ดูเหมือนว่านิสัยใจคอจะไม่เหมือนกันเลย เควินค่อนข้างเงียบขรึมและขี้อายเมื่อเทียบกับน้องชาย แต่อาจจะด้วยความเป็นคนดังและต้องทำงานในวงการบันเทิง เลยทำให้เขายอมเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเดิมมาเป็นคนที่เฟรนด์ลี่และคุยเก่งขึ้น ซึ่งมันทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาและเจิดจ้ามาก โดยเฉพาะตอนปรากฏตัวในที่สาธารณะและตามสื่อต่างๆ