มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ทำอย่างกับไม่เคยเห็นคนสวยใส่เสื้อกันลมอย่างงั้นแหละ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นายว่าในบรรดาคนที่กำลังแอบมองฉัน จะมีคนใหญ่คนโตอย่าง บ.ก. ใหญ่ของสำนักพิมพ์บ้างไหมนะ ที่แฝงตัวมาเป็นผู้สัมภาษณ์ หลังจากนั้นก็ตีเนียนไปกับกลุ่มผู้ถูกสัมภาษณ์และตัดสินกันภายในว่าผู้ถูกสัมภาษณ์คนไหนพอจะเป็นต้นกล้าที่ดีได้บ้างหรือเปล่า…นิตยสาร ‘ซุปไก่’*** เขียนไว้แบบนี้…
ตอนนี้ดูเหมือนว่าชูหลี่จะนึกอะไรบางอย่างออก เธอกระแอมเบาๆ ในลำคอและมองไปรอบตัว…อดทนรอได้สักพัก แต่ไม่มีการตอบกลับมาของ Mr. L ที่หายไป เธอเบ้ปากอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อยและคาดเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังยุ่งอยู่ จึงนำโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
เธอนั่งยืดตัวตรงบนเก้าอี้ ตำแหน่งที่นั่งของชูหลี่หันหน้าไปทางห้องสัมภาษณ์ ซึ่งมุมนี้สะดวกต่อดวงตาสีดำและขาวที่ตัดกันอย่างเด่นชัดคู่นี้ของเธอจะสามารถจ้องมองการเดินเข้าออกของผู้มาสัมภาษณ์ได้เป็นอย่างดี…
คนนี้นำเรซูเม่มาเป็นตั้ง จะเอามาแจกใบปลิวเหรอ
โอ้ คุณผู้หญิงคนนี้หน้าตาดีจังเลย เป็น บ.ก. ฝ่ายไหนนะ เธอฮอตกว่าหลิวอี้เฟย* ตอนแสดงละครโทรทัศน์ซะอีก…ฉันพิงกล่องอะไรอยู่เนี่ย…นึกไม่ถึงเลยว่าฉันกำลังพิงกล่องใส่นิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาว…สุดยอดไปเลยพี่ใหญ่ ฉลาดสุดๆ ไปเลย นี่แหละที่จะแข่งขันกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างทรงพลัง!
ขณะที่หญิงสาวเฝ้ามองผู้สัมภาษณ์คนที่สามสิบสองด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เรียบเฉยพร้อมกับนึกเปรียบเทียบถึงตำแหน่ง บ.ก. ที่มาสมัครกับรูปร่างที่เหมือนเทรนเนอร์ฟิตเนสของอีกฝ่ายอยู่นั้น เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที ในที่สุดพนักงานแจกบัตรคิวก็เรียกลำดับคิวของเธอ…
ชูหลี่ลุกขึ้นยืน ขณะนั้นเองเธอรู้สึกว่ารอบข้างนั้นเงียบแปลกๆ ปรากฏว่าผู้เข้าสัมภาษณ์ในครั้งนี้เหลือแค่…เธอคนเดียว
พนักงานเรียกลำดับคิวและยิ้มให้เธอ ชูหลี่ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องประชุมที่ปิดอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจากด้านในบอกว่า “เชิญเข้ามา” เธอก็เปิดประตูเดินเข้าไป…
เธอยื่นเรซูเม่ จากนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกรรมการผู้สัมภาษณ์คนที่ห้าแวบหนึ่งทางหางตาซึ่งดูไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของกรรมการผู้นั้นเริ่มหมดความอดทนกับการทำงานล่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์จนอยากรีบเลิกงานและกลับบ้านไปทานข้าวเต็มที
ชูหลี่ “…”
กรรมการผู้สัมภาษณ์เย็นชาจัง…ดูเหมือนว่าจุดเริ่มต้นของละครทีวีมักจะเป็นแบบนี้?
ใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจไป
เชิดหน้าขึ้นและยืดอกเข้าไว้
หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ สายตาคอยสังเกตกรรมการผู้สัมภาษณ์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนอย่างละเอียด มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน พวกเขาแต่ละคนอาจมีตำแหน่งก็เป็นได้…แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะในสายตาของเธอทุกคนล้วนอาวุโสเหมือนกันหมด
ชูหลี่ทำได้เพียงแค่จ้องกรรมการท่านหนึ่งที่ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วเริ่มแนะนำตัว หลังจากทราบข้อมูลทั่วไปของเธอแล้วก็เริ่มสาธยายถึงวรรณกรรมแนวโบราณของนิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวเสียงสูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนชอบนิตยสารเล่มนี้มากเพียงใด เมื่อเล่าถึงตอนที่น่าตื่นเต้นก็จะลุกขึ้นยืน ก่อนจะประกาศให้กรรมการผู้สัมภาษณ์ทราบอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าให้โอกาสฉันเข้าทำงานที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย แม้จะได้รับค่าตอบแทนเพียงแปด…ไม่สิ หนึ่งพันห้าร้อยหยวน ฉันก็เต็มใจรับถึงแม้จะยากลำบากก็ตาม!”
…ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงลิบลิ่วแห่งนี้ เดือนละหนึ่งพันห้าร้อยหยวนคงเหมาะจะอาศัยอยู่แค่ในท่อน้ำเท่านั้นแหละ
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลอุบาย
สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่อย่างหยวนเยวี่ยจะยอมให้เงินเดือนพนักงานเพียงหนึ่งพันห้าร้อยหยวนได้อย่างไร!
ชูหลี่คิดว่าหากแสดงละครโดยใช้กลอุบายนี้กับกรรมการผู้สัมภาษณ์ พวกเขาจะต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกับความกระตือรือร้นของตน แต่กลับผิดคาด เมื่อพูดจบก็ได้ยินกรรมการผู้สัมภาษณ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางขวาสุดกำลังแสดงสีหน้าท่าทางที่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมอะไรเลยจนหญิงสาวรู้สึกสงสัยว่าเธอหลับไปแล้วหรือยัง กรรมการผู้สัมภาษณ์คนนี้ถามประโยคหนึ่งออกมาอย่างคล่องปากว่า
“หนึ่งพันห้าร้อยหยวนต่ำเกินไป ถ้าหนึ่งพันแปดร้อยหยวนเธอจะทำไหม”
ชูหลี่ “…?”
กรรมการผู้สัมภาษณ์หญิงคนนั้นพูดออกมาโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเก็บสีหน้าที่มึนงงแทบไม่อยู่ ทำให้กรรมการผู้สัมภาษณ์สี่คนที่เหลือต่างหัวเราะก๊ากออกมา…
ชูหลี่รู้สึกว่าวันนี้เธอเจอแต่คนแย่ๆ ตั้งแต่คนขับรถยันกรรมการผู้สัมภาษณ์เลย
แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรค เธอจึงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความนัย “หนึ่งพันแปดร้อย? ฉันทำค่ะ”