Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์
ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ บทที่ 125
บทที่ 125
ในที่สุดบทสนทนาอันแสนสุขก็ใกล้จะจบลง ประเด็นสุดท้ายคงหนีไม่พ้นเรื่องจุกจิกของโจ้วชวนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้…สิ่งที่ทำให้ชูหลี่ตกใจคือเป็นไปไม่ได้ที่โจ้วกู้เซวียนจะไม่รู้สภาพในตอนนี้ของโจ้วชวน และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าลูกชายของเขาอยู่ในช่วงจิตใจเปราะบาง…
เห็นได้ชัดว่าคุณนายโจ้วชวนก็ยังพูดกับเขาด้วยท่าทางระมัดระวัง แต่โจ้วกู้เซวียนกลับตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
“ถึงจะได้เข้าชิงรางวัลบุปผางามแห่งวรรณกรรม แต่ก็อย่าได้ใจไป ผลงานเรื่องนี้ยังห่างชั้นกับที่ควรจะได้รางวัลอีกโข” โจ้วกู้เซวียนเอ่ยอย่างราบเรียบ “ฉันรู้ว่าตอนนี้สื่ออย่างพวกเธอชอบยกยอนักเขียนมาก ตอนประโคมข่าวชื่อเสียงอะไรต่างๆ ล้วนเอาออกมาโอ้อวดซะหมด ยอดขายก็เกินจริงจนกลายเป็นบรรทัดฐานในวงการไปแล้ว ดังนั้นการที่พวกเขาพยายามประโคมข่าวการเข้าชิงของแกใหญ่โต แถมยังสัมภาษณ์อะไรนั่นน่ะ…ในสมัยของพวกฉันล้วนเป็นผลงานที่ทำกันออกมาจริงๆ ตอนที่ฉันส่งผลงานไปเข้าร่วมคัดเลือกแล้วได้เข้าชิง ทำไมถึงไม่มีคนมาสัมภาษณ์ฉันล่ะ”
โจ้วชวนเอาตะเกียบพุ้ยข้าวโดยไม่ชะงักเลยสักนิด แต่พอได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองพ่อของเขาแวบหนึ่ง
“ไม่รู้ บางทีนักข่าวเองก็คงไม่อยากถูกพ่อทำให้โมโหล่ะมั้ง อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายปีผิดตรงไหน…”
ชูหลี่กระทืบเท้าโจ้วชวนใต้โต๊ะทีหนึ่ง และดูจากการเคลื่อนไหวของร่างกายท่อนบนของคุณนายโจ้วแล้ว ถ้าเธอไม่เตะโจ้วกู้เซวียนใต้โต๊ะทีหนึ่งก็คงยื่นมือไปหยิกต้นขาเขา
โจ้วกู้เซวียนไม่สนใจ บ่นและสั่งสอนโจ้วชวนต่อไป “แกอย่าทำเหมือนขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็นึกว่าการที่ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ได้เข้าชิงเป็นความเก่งกาจของแกเองนะ แกลองคิดดูสิ ถ้าไม่มีชูหลี่เอามีดจ่อคอแกในตอนแรกและบังคับให้แกส่งเข้าร่วมคัดเลือกล่ะก็ แกจะมีวันนี้ได้เหรอ”
โจ้วชวนถือชามข้าวไม่พูดไม่จา ก้มหน้ามองชูหลี่แวบหนึ่งก็เห็นเธอมีท่าทีเครียดขึ้นมานิดหน่อย
“เธอไม่ได้เอามีดมาจ่อคอผม ก็แค่ร้องไห้อยากจะส่ง” น้ำเสียงของโจ้วชวนมั่นคงชัดถ้อยชัดคำ “ตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากจะส่งและไม่คิดจะส่ง แต่พ่อเองก็รู้นี่นาว่าน้ำตาของผู้หญิงน่ะร้ายกาจที่สุด”
บรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อย คุณนายโจ้วหัวเราะขึ้นมา ชูหลี่หน้าแดงดึงแขนเสื้อของเขาอย่างกระดากอาย ลดเสียงลงต่ำพลางกล่าวเตือน
“พูดอะไรของคุณน่ะ…”
“ได้ผลประโยชน์แล้วก็อวดดีให้มันน้อยๆ หน่อยนะแก” โจ้วกู้เซวียนใช้ตะเกียบชี้หน้าโจ้วชวน “เรื่องนี้เป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ของชูหลี่จริงๆ”
“ฉันไม่ได้เป็นคนเขียนนิยายนะคะ”
“แกเขียนแล้วยังไง แกแค่ได้จังหวะดีก็เท่านั้น โลกแห่งวรรณกรรมในสองปีมานี้กำลังเปิดกว้าง เริ่มยอมรับวรรณกรรมหมวดหมู่ใหม่ๆ มากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรรางวัลบุปผางามแห่งวรรณกรรมก็ต้องออกแถลงการณ์แน่นอน…หนังสือใหม่ของเสี่ยวเฉิง ฉันเองก็อ่านแล้ว และชูหลี่ก็เป็นคนทำด้วยสินะ ขายดีทีเดียว เขียนได้แยบยลดีเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ทันจังหวะดีๆ ล่ะก็ ไม่งั้นฉันว่าเขาเองก็ต้องได้เข้าชิงเหมือนกัน”
…หมดกันๆ
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ล่ะก็ ชูหลี่อยากจะเอามือยันหน้าผากและนวดหว่างคิ้วจริงๆ อาจารย์โจ้วกู้เซวียนเหมือนกับที่เล่าลือกันไว้ โจ้วชวนไม่อยากได้ยินอะไรมากที่สุด เขาก็จะพูดสิ่งนั้นให้ได้
…มิน่าล่ะ โจ้วชวนถึงได้พูดอยู่ทุกวันว่าเจียงอวี่เฉิงคือ ‘เด็กข้างบ้าน’ ดูท่าทางจะจริงซะด้วยสิ
“ยอดขายหนังสือเล่มนั้นของเจียงอวี่เฉิงรวมกับที่แจกลายเซ็นยังน้อยกว่ายอดตีพิมพ์ครั้งแรกนิยายเล่มนี้ของผมถึงห้าหมื่นเล่ม นี่ก็ขายได้ไม่เลวแล้วเหรอ ทำไมไม่เห็นพ่อชมผมว่าขายได้ไม่เลวบ้างล่ะ…ต่อให้หนังสือผมยอดขายเกินจริงก็ยังเหลือเฟือ แล้วตอนแรกไม่ได้พูดว่าหนังสือเขายอดตีพิมพ์ครั้งแรกหนึ่งล้านเล่มหรือไง”
โจ้วชวนมองไปทางชูหลี่
ชูหลี่กระตุกมุมปาก แต่เวลานี้ถ้าเธอยังไม่ยอมอยู่ข้างโจ้วชวนอีก เขาคงจะล้มโต๊ะแน่นอน ดังนั้นชูหลี่จึงได้แต่พูด ขอโทษนะคะอาจารย์ กับเจียงอวี่เฉิงเงียบๆ ในใจ จากนั้นก็พยักหน้าและเอ่ยตามตรง
“…นั่นก็…พูดเกินจริงนิดหน่อยน่ะค่ะ”
โจ้วชวนเชิดจมูกไปทางพ่อของเขา
โจ้วกู้เซวียนแค่นเสียงหึทีหนึ่ง “คำพูดที่ฉันพูด แกอย่ามาทำเป็นไม่ชอบฟังหน่อยเลย ฉันพูดอะไรผิดหรือไง…นักเขียนเดี๋ยวนี้หุนหันพลันแล่น เวลาเตรียมตัวก่อนลงมือเขียน สิ่งที่คิดแวบแรกไม่ใช่ว่าต้องการสื่ออะไรผ่านผลงานของตัวเอง แต่คิดแค่ว่าฉันเขียนแบบนี้แล้วจะดังหรือเปล่า…คิดอย่างนี้จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ อะไรออกมาได้”
โจ้วชวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่พ่อพูดไม่ใช่เสี่ยวเฉิงข้างบ้านหรือไง เมื่อวานเขายังแชตถกความเห็นกับผมเรื่องหัวข้องานเขียนที่กำลังดังอยู่ในตอนนี้…ตอบสนองต่อตลาด ตอบสนองต่อการศึกษาเพื่อสอบ ตอบสนองต่อตาแก่ที่มีความคิดล้าหลัง เป็นแนวที่เจ้าเด็กข้างบ้านเสี่ยวเฉิงถนัดพอดี”
“แกว่าใครเป็นตาแก่!”
“ถ้าไม่ร้อนตัวแล้วจะเสียงดังขนาดนั้นทำไม”
“ไอ้เด็กอกตัญญู ก็นิสัยแบบนี้ไง มิน่าล่ะในเน็ตถึงได้มีคนด่าแกเยอะแยะขนาดนั้น!”
“พวกเขาก็ด่าพ่อเหมือนกันนั่นแหละ แก่แต่ไม่เคารพตัวเอง เขียนงานแทนลูกชาย”
“ฉันเขียนแทนแกกับผีน่ะสิ!”
โจ้วชวนวางชามลง “ใช่ พ่อรีบไปให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟดูสิ พูดกับคนพวกนั้นหน่อยว่า…ไม่ต้องสนใจหรอกว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ดูจากความขมขื่นเกลียดชังบนหน้าพ่อก็คงต้องเชื่อแล้ว”
“แกตัดใจซะเถอะ ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก ให้พวกเขาด่าแกต่อไปนั่นแหละ”
“อย่างกับจะด่าผมได้งั้นแหละ…ถ้าพ่อไม่ช่วยผม งั้นพ่อเรียกผมกลับมาทำไม ตั๋วเครื่องบินมันฟรีหรือไง”
“ฉันอยากเจอชูหลี่ ใครจะไปรู้ว่าแกกลับมาทำไม”
“…”
อาหารมื้อนี้จากความรักใคร่กลมเกลียวกันในตอนแรกที่ชูหลี่เป็นคนดำเนิน จนกระทั่งโจ้วชวนและโจ้วกู้เซวียนสองพ่อลูกเริ่มบทสนทนาที่ทำเหมือนไม่มีใครอยู่ในที่นี้ บรรยากาศก็เปลี่ยนจากเหนือเส้นศูนย์สูตรพุ่งทะยานไปยังวงกลมอาร์กติก คนรอบข้างจะกู้สถานการณ์กลับมาก็ทำไม่ได้แล้ว
กลิ่นดินปืนขุมหนึ่งแผ่กระจายอยู่กลางอากาศ
ภาพในจินตนาการของชูหลี่อย่าง ‘คุณพ่อวัยกลางคนผู้เข้มงวดแทบจะไม่เคยยืนอยู่ข้างลูกชาย ร่วมประณามความรุนแรงในโลกออนไลน์ด้วยกันและยืนกรานที่จะสนับสนุนลูกชาย ส่วนลูกชายก็ร้องไห้น้ำตาไหลกอดกับผู้เป็นพ่อ ทอดถอนใจว่าหลายปีที่ผ่านมาแม้จะทะเลาะกันบ่อยครั้ง แต่พ่อก็ยังเป็นพ่อแท้ๆ ของผม’ ไม่ได้เกิดขึ้น…
แต่อาจารย์โจ้วกู้เซวียนกลับกล่าว ‘ให้พวกเขาด่าแกต่อไปนั่นแหละ’
ส่วนโจ้วชวนกล่าว ‘อย่างกับจะด่าผมได้งั้นแหละ’
…แต่ว่ากันตามตรงแล้ว คำพูดของอาจารย์โจ้วกู้เซวียนก็นับว่าเป็นการกระตุ้นความอยากเอาชนะที่มีอยู่ในตัวโจ้วชวนอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน
เมื่อทานอาหารเสร็จก็เป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง
ระหว่างที่พาชูหลี่กลับไปส่งโรงแรม โจ้วชวนมองเธอที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าพูด…มือข้างหนึ่งแตะพวงมาลัย ส่วนมืออีกข้างตบหลังมือหญิงสาวที่นั่งเบาะข้างคนขับเบาๆ
“ไม่ต้องปลอบผมหรอก ชินแล้วล่ะ”
พอโจ้วชวนพูดอย่างนี้แล้ว ชูหลี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นเมื่อถึงโรงแรมแล้ว โจ้วชวนเดินตามเธอเข้าไปในห้องโดยไม่พูดไม่จา แต่เธอก็ไม่ได้ไล่เขาไปราวกับพยายามหลับตาข้างหนึ่ง…
เมื่อปิดประตู เธอก็ถูกกดลงบนผนังข้างประตูทันที
จุมพิตของชายหนุ่มประพรมลงบนแก้มชูหลี่ราวกับเม็ดฝน ท้ายที่สุดก็ประกบแนบชิดกับริมฝีปากของเธอ ปลายลิ้นเริ่มเปิดแนวฟันของเธอและล่วงล้ำเข้ามาอย่างง่ายดาย…ฝ่ามือใหญ่ของเขาที่รัดรอบเอวเธอเลื่อนเข้ามาใต้ชายเสื้อเชิ้ต เมื่อสัมผัสอันเย็นเยียบแนบชิดกับผิวอันเนียนละเอียดของเธอ ร่างเธอก็สั่นระริก…
“โจ้ว…โจ้วชวน…”
“หืม?”
“ไม่เอาตรงนี้…”
“งั้นไปที่เตียงก็แล้วกัน”
“…”
สิ่งที่เธออยากจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้…
แต่เมื่อคิดไปครู่หนึ่ง คืนนี้ก็นับว่าได้เห็นกับตาแล้วว่าที่รักของเธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไร คำพูดที่ว่า ‘คุณไสหัวออกไปเลย’ ประโยคนั้นไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก…จึงปล่อยให้ฝ่ามือใหญ่กอดรัดกระหวัดเล่นอยู่บนเอวและท้องน้อยของเธอ ปลายนิ้วแตะเนื้อชูชันใต้ชุดชั้นในที่ถูกดันออกมาหลังจากขยับขึ้นเล็กน้อยคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ
ตอนที่ถึงโรงแรมเป็นเวลาสี่ทุ่ม ในที่สุดโจ้วชวนก็จากไปราวๆ ห้าทุ่มครึ่ง…
ทั้งสองคนราวกับนักชิมเพิ่งได้สัมผัสกับของสดใหม่ ทุกการค้นพบครั้งใหม่เล็กๆ น้อยๆ สามารถทำให้พวกเขาพิรี้พิไรอยู่นานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย…แม้จะรู้สึกว่าเวลาและสถานที่ออกจะแปลกๆ ไปบ้างก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจทำไปจนสุดได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้ห้องของโรงแรมถูกคนทั้งสองทำจนเละเทะไปมากกว่านี้…โจ้วชวนจึงลุกขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ จูบริมฝีปากสีแดงเข้มของคนในอ้อมกอด เอ่ยเสียงแหบพร่า
“ผมไปจัดการตัวเองที่ห้องน้ำแป๊บหนึ่ง” จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องน้ำ
ชูหลี่นอนอยู่บนเตียง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง พอพลิกตัวไปมอง บนผ้าปูเตียงล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมบนตัวเธอและกลิ่นอายจากเรือนกายของโจ้วชวน…ใบหน้าของเธอแดงก่ำ มองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดลงเมื่อครู่นี้ จึงลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอเดินเขย่งเท้าที่ไม่ได้สวมสลิปเปอร์ไปยังหน้าประตูและแนบหูฟัง
ห้องน้ำเป็นประตูบานเลื่อน เพียงเลื่อนเล็กน้อยก็สามารถแง้มช่องให้เห็นได้ ชูหลี่โน้มตัวเอาหูแนบกับประตูจนชิด ฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่ทำให้หน้าแดงหูแดงดังมาจากข้างใน อีกทั้งเสียงหอบหายใจที่ทั้งแผ่วเบาและหนักหน่วงของชายหนุ่ม…
ชูหลี่ยืนจิกนิ้วเท้าบนพรมนุ่ม ใจเต้นรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เลือดลมทั่วทั้งร่างยิ่งสูบฉีดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันแข้งขาก็อ่อนเปลี้ยเล็กน้อย…
ความหุนหันพลันแล่นอย่างการเลื่อนเปิดบานประตูห้องน้ำโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กางสองแขน ตะโกนใส่ชายหนุ่มอย่างไม่กลัวเกรงราวกับมองเห็นการตายเป็นการกลับบ้าน พร้อมกับกล่าวว่า ‘มาเถอะ ฉันไม่กลัว’ แทบจะแผดเผาสมองจนพังไปแล้ว…ชูหลี่เดินซวนเซผละจากประตูห้องน้ำกลับไปนอนบนเตียง กอดหมอน กัดนิ้วตัวเองแน่น แล้วขดตัวเข้าหากันทันที
และในเวลาเดียวกันนี้เอง ทางด้านบ้านตระกูลโจ้ว
คุณนายโจ้วยกถังสุ่ยมาแล้ววางลงตรงหน้าสามี มองเขากินเข้าไปคำหนึ่ง ในที่สุดก็ยื่นนิ้วไปจิ้มหลังเขาอย่างทนไม่ไหวพลางบ่น
“วันนี้คุณพูดแบบนั้นทำไม ก่อนออกจากบ้านเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้คุณจะพูดกันด้วยเหตุผลดีๆ”
โจ้วกู้เซวียนถูกจิ้มจนร่างโยกไหว จากนั้นก็ยกเปลือกตาขึ้น “เหตุผลอะไร ตั้งแต่ต้นจนจบคุณพูดเองเออเองทั้งนั้น ผมรับปากคุณหรือไง”
“โอ๊ย! แล้วตาแก่คร่ำครึอย่างคุณมีเหตุผลมากหรือไง…ไม่รู้เหรอว่าในอินเตอร์เน็ตด่าลูกเราหยาบคายแค่ไหน คุณไม่ปลอบเขาไม่พอ แถมยังพยายามพูดว่าการที่เขาได้เข้าชิงไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าให้ดีใจอะไรทำนองนั้น เพราะงั้นเขาก็เลยถูกคนอิจฉาฟรีๆ ถูกเหน็บแนมฟรีๆ”
โจ้วกู้เซวียนกินถังสุ่ย คำพูดของภรรยาทำให้เขาขำพรืด “ถ้าเขาต้องการคำปลอบใจ เขาจะมาหาผมเหรอ”
คุณนายโจ้วถูกย้อนถามจนพูดไม่ออก
“ก่อนที่เขาจะมาก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดอะไร” โจ้วกู้เซวียนวางชามลง “คาดหวังจะให้ผมปลอบเขาเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พวกคุณเองก็เลิกโอ๋เขาไปซะทุกเรื่อง เหมือนกับว่าเขาได้รับความทุกข์ทรมานอะไรสักที…ผู้หญิงอย่างพวกคุณไม่เข้าใจหรอก…”
“ไม่เข้าใจอะไร คุณอธิบายให้ฉันฟังสิ”
“เวลาอย่างนี้ยิ่งระมัดระวังก็ยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้เขา เป็นยังไงก็ควรปล่อยให้เป็นยังงั้น…อ้อ คนในอินเตอร์เน็ตพวกนั้นพูดกันว่าเขามีคนเขียนงานแทนก็มีคนเขียนแทนจริงๆ งั้นเหรอ สุดท้ายแล้วความจริงเป็นยังไง ตัวเขา พวกเรา แล้วก็คนรอบตัวเขาจะไม่รู้หรือไง”
“…”
“ไร้สาระทั้งเพ ไม่ควรค่าให้พูดถึง” โจ้วกู้เซวียนเอ่ยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ไม่พอที่จะล้มโจ้วชวนได้หรอก สิ่งที่ทำร้ายคนคนหนึ่งตลอดไปไม่ใช่คำซุบซิบนินทา ขอแค่เขายืดตัวให้ตรงเข้าไว้ เขาก็ไม่มีทางล้มได้หรอก”
“…ว้าว คนคร่ำครึอย่างคุณเนี่ย” คุณนายโจ้วพูดเอื่อยเฉื่อย “ช่างพูดซะด้วย”
“นั่นลูกชายผมนะ” โจ้วกู้เซวียนบีบจมูกกลืนถังสุ่ยที่หวานแทบตายลงคอแล้ววางชามลง “ถ้าผมไม่เข้าใจ ยังจะมีใครเข้าใจอีก…ดีไม่ดีเขากำลังใช้ประโยชน์จากความเห็นอกเห็นใจที่เอ่อล้นของผู้หญิงอย่างพวกคุณพยายามเอาเปรียบอะไรสักอย่าง พวกคุณน่ะ ถูกเขาขายแล้วยังนับเงินให้เขาอีก”
ที่โรงแรม
ชูหลี่ที่กำลังกอดหมอนก็จามเบาๆ แล้วยกมือขึ้นมาถูปลายจมูก เธอมองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทอยู่ตลอดเวลา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.