การสัมภาษณ์สิ้นสุดลงเท่านี้ ชูหลี่สบตากับคนที่ถือโทรศัพท์แวบหนึ่ง เธออึกอัก ขณะที่โจ้วชวนรีบเอ่ยขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน”
ชายหนุ่มก้มหน้ากดโทรศัพท์ ใช้แอพฯ เปิดดนตรีประกอบการ์ตูนเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ ก่อนจะยื่นมือทำท่า ‘เชื้อเชิญ’ ให้กับชูหลี่
“เชิญเริ่มการแสดงของคุณได้”
“ทุกสาขาอาชีพ คนที่ชอบเรียกนักเขียนว่า ‘อาจารย์’ มากที่สุดจะต้องเป็นคนในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์แน่นอน เมื่อกี้คนสัมภาษณ์คนนั้นเกือบจะหลุดปากเรียกคุณว่า ‘อาจารย์โจ้วชวน’ และคนที่ถูกสัมภาษณ์คนนั้นรู้ข้อมูลหนังสือของคุณอย่างละเอียด เปิดปากพูดว่าสามแสนกว่า แม้ว่าจะจงใจไม่พูดถึงตัวเลขที่เฉพาะเจาะจง แต่ใช้ตัวเลข ‘สามแสน’ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แสดงว่าเขามั่นใจในความจริงของเรื่องนี้มาก จากนั้นเขาก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับนักพัฒนาทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาและลิขสิทธิ์ ดูเหมือนว่าพูดถึงส่วนได้ส่วนเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังเตือนนักพัฒนาเหล่านั้นว่าอย่าให้ค่าลิขสิทธิ์ที่สูงขนาดนั้นกับคุณ แสดงว่าเขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณรุนแรงที่สุดตรงไหน…”
“แล้วยังไง”
“และระหว่างที่ว่าร้ายคุณ คนถูกสัมภาษณ์ยังถือโอกาสว่าร้ายเรื่อง ‘สวนสนุกที่หายไป’ ซึ่งพูดว่ายอดตีพิมพ์ครั้งแรกก็ทะลุหนึ่งล้านเล่มเหมือนกัน ถึงยังไงหนังสือขายดีในช่วงนี้ก็คือเล่มนี้…และมีแค่เล่มเดียว คนที่ถูกสัมภาษณ์ไม่เพียงแค่ว่าร้ายคุณธรรมดาๆ แต่ดูเหมือนว่าเขายังต้องการพุ่งเป้าไปที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยด้วย หรือไม่ก็ฉัน…”
“สรุปแล้วก็คือ”
“ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คนถูกสัมภาษณ์คนนี้แปลงเสียงด้วย ไม่สู้ทำตอนจบไปเลยว่า…ฉันคือเหล่าเหมียว รองหัวหน้า บ.ก. ตกอับที่เพิ่งถูกเฉดหัวออกมาจากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ที่พูดมาข้างต้นล้วนเป็นความจริง พวกคุณโปรดเชื่อฉัน!”
“…”
“เรื่องทุเรศๆ พวกนี้ ตายแล้วยังจะแพร่พิษจากศพทำให้คุณสะอิดสะเอียนอีก…พอเห็นว่ามีโอกาสแก้แค้นก็เข้ามาเหยียบย่ำ” ชูหลี่ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปตบโทรศัพท์ที่อยู่ในมือโจ้วชวน “พูดจบแล้ว ปิดดนตรีประกอบได้แล้ว หงุดหงิดชะมัด เวลานี้ยังมีแก่ใจจะสนุกอยู่ได้”
โจ้วชวนยิ้มพลางปิดดนตรีประกอบการ์ตูนเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ มองวีแชตในโทรศัพท์แวบหนึ่ง ห้องแชตกำลังจะระเบิดเพราะคลิปเสียงสัมภาษณ์นั่นอย่างที่คิดจริงๆ…พายุระลอกใหม่เรื่อง ‘ต่อรองราคา’ ‘ขอร่วมมือในราคาต่ำ’ ‘นิยายของคุณไม่คุ้มกับเงินมากมายขนาดนั้น ความร่วมมือระหว่างพวกเราคงต้องพิจารณากันใหม่’ ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง…
ดูเหมือนว่าตลอดทั้งบ่ายจะเสียหายกันไปหลายล้าน
โจ้วชวนปิดโทรศัพท์มือถือทันที หลุบตาลง หลังจากคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “เย็นนี้กินอะไรดี”
ชูหลี่เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ท่าทางหงอยๆ “ตามใจสิคะ”
“กินหม้อไฟก็แล้วกัน มาเมือง C ทั้งทีจะไม่กินหม้อไฟได้ยังไง” ชูหลี่ไม่พูดจา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเธอ “พูดอะไรหน่อยสิ”
“ฉันแค่อยากระเบิดน่ะ”
รอยยิ้มของโจ้วชวนไม่เปลี่ยน “ผมยังไม่ระเบิดเลย ทำไม ยังไม่ได้แต่งงานกับผมก็เริ่มเป็นห่วงว่าบัตรเครดิตธนาคารของผมจะหดหายซะแล้ว คุณเตรียมการรอบคอบดีจริงๆ เลยนะสหาย”
ชูหลี่เลิกเปลือกตาแล้วถลึงตาใส่โจ้วชวนครั้งหนึ่ง เห็นเขายิ้มทะเล้นเหมือนกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกเล็กน้อย จากนั้นก็ถูกเขาลากตัวออกไปข้างนอกเตรียมตัวไปกินมื้อเย็น…
เรื่อง ‘ยอดขายปลอม’ ที่เป็นประเด็นร้อนในวันอาทิตย์ สำหรับโจ้วชวนแล้วนับว่าเป็น ‘พายุวิกฤตศรัทธา’ ครั้งหนึ่ง
นักอ่านจรที่ถูกปิดหูปิดตาตามการชักนำของคนทั้งสองคนในคลิปเสียงสัมภาษณ์อย่างง่ายดายนำคำว่า ‘ยอดขายปลอม’ มาบวกกับ ‘นักเขียนเงา’ แล้วเขียนเครื่องหมายเท่ากับ จากนั้นก็จับโจ้วชวนกดลงไปบนเก้าอี้แห่ง ‘การหลอกลวง’ โดยสมบูรณ์ ทั้งยังตรึงเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา…
ระหว่างทางใช่ว่าจะไม่มีใครออกมาพูด เรื่องยอดขายเกินจริงแบบนี้ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ถือเป็นเรื่องปกติมาก นักเขียนทุกคนล้วนทำกันทั้งนั้น…แต่เดิมทีคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงหนังสือจริงๆ ก็มีไม่เท่าไร ในจำนวนนั้นที่เป็นแฟนคลับของโจ้วชวนและยินดีออกมาพูดแทนเขามีนับนิ้วได้ ถ้าเทียบกับคนที่เชื่อคนส่วนใหญ่และตัดสินคนอื่นง่ายๆ เหล่านั้นแล้ว แทบจะจมหายท่ามกลางทะเลมนุษย์ทุกๆ นาที…
สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยในฐานะที่โฆษณายอดขายเกินจริงก็ถูกด่าสาดเสียเทเสียเช่นกัน เวลานี้จึงไม่สะดวกที่จะออกมาพูดแทนโจ้วชวน
โจ้วชวนเองก็อยู่ในความสงบ หลังกลับจากเมือง C ถึงเมือง G แล้วก็ไม่ออกไปไหนเลย…