เขาอัพเดตนิยายตอนต่อไปบนเวยป๋อตามปกติ เพียงแต่การแชร์และคอมเมนต์ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่ามีคนกำลังเลิกเป็นแฟนคลับเขาจริงๆ และบางครั้งก็ได้รับคอมเมนต์ที่ว่า ‘นิยายเรื่องใหม่ล่าสุดของคุณตอนนี้เขียนเองหรือเปล่า พอคิดถึงเรื่องนี้ก็อ่านต่อไปไม่ได้แล้ว’
การเจรจาสัญญาลิขสิทธิ์ของ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ก็หยุดชะงักเช่นกัน ตามปกติแล้วเมื่อเขียนหนังสือจบเล่มหนึ่ง ลิขสิทธิ์ทั้งหมดจะขายได้ภายในเวลาประมาณสองเดือน ตอนนี้ใกล้จะครึ่งปีแล้ว ลิขสิทธิ์ทั้งหมดยังอยู่ในมือ เห็นทีว่ามีเพียงสองทางเลือกคือถ้าไม่ขายในราคาต่ำก็ต้องปล่อยให้เน่าอยู่ในมือ…
ภายนอกโจ้วชวนไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้แก่ใจดีว่าตนได้เดินทางมาถึงหุบเหวในสายอาชีพเสียแล้ว
จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนเขาอาจมองว่าการใส่ร้ายทั้งหมดเป็นละครสนุกๆ ไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่ร้ายแรงต่อตัวเขา…
แต่ตอนนี้มีเสียแล้ว เพราะสำหรับนักเขียน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนักอ่านนั่นเอง
นักเขียนคนหนึ่งจะถูกกังขาก็ได้ จะถูกหมิ่นประมาทก็ได้ และยอมรับได้ว่าจิตวิญญาณในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองแห้งขอดจนจำเป็นต้องทะลวงจุดที่ตีบตันออกไปใหม่อีกครั้ง แต่สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดคืออะไร…
คือข้อกังขาที่มาจากนักอ่าน
ความจริงแล้วการเขียนนิยายคือการนำเรื่องราวที่อยากบอกเล่าเล่าให้กับคนที่อยากฟังได้ฟังอย่างเรียบง่าย แม้บางคนอาจพ่นถ้อยคำแย่ๆ เช่น ‘แหวะ’ ‘ไม่สนุก’ ‘น่าเบื่อ’ แต่สำหรับนักเขียนแล้วสามารถยิ้มและปล่อยผ่านไปได้ ทว่าสิ่งที่นักเขียนรับไม่ได้คือการที่นักอ่านของตนเองหันหลังจากไป
แม้ว่าเป็นแค่ความสัมพันธ์ง่ายๆ ระหว่างการเขียนนิยายกับการอ่านนิยาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หลังจากนักอ่านคุ้นชินกับการทิ้งคอมเมนต์ว่า ‘ผิดหวังกับคุณมาก’ แล้วหันหลังจากไป บางทีนักอ่านคนนี้อาจคิดว่านักเขียนคงไม่เห็นคอมเมนต์ของเขา…
แต่ในความเป็นจริงนักเขียนเห็นเสมอ และสิ่งที่รอคอยนักเขียนอยู่คือสภาพจิตใจที่ดิ่งลงเหวภายในหนึ่งวัน หรือไม่ก็เป็นการคิดวนไปวนมา
เมื่อคอมเมนต์แบบนี้นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นักอ่านที่จากไปนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากคำซุบซิบนินทานับวันยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ…ความเสียหายก็เริ่มปรากฏออกมาจนถึงขั้นนิ่งดูดายไม่ได้
แต่จะทำอะไรได้ สิ่งที่น่าเศร้าก็คือการที่ทำอะไรไม่ได้เลย…
เมื่อคนคนหนึ่งถูกกำหนดให้กลายเป็นคนที่ถูกสังคมประณาม เขาพูดอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมด ถึงขั้นอาจมีคนถามเขาว่าถ้าคุณไม่ได้ทำ ทำไมต้องแก้ตัวมากมายขนาดนั้นด้วย
ผู้คนคงสืบสาวราวเรื่องกันจนท้ายที่สุดก็วนเวียนอยู่แต่ว่าสรุปแล้ว ‘บันทึกแห่งบูรพา’ คือผลงานเรื่องแรกของเขาใช่หรือไม่ ถ้าหากใช่ล่ะก็ ทำไมคนคนหนึ่งถึงได้มีสำนวนภาษาและวิธีการเขียนที่เป็นรูปเป็นร่าง ทั้งยังมีความเป็นผู้ใหญ่ติดตัวมาแต่เกิดขนาดนี้
คำหมิ่นประมาทในอินเตอร์เน็ตจะสงบลงได้จำเป็นต้องนำต้นฉบับ ‘ผลงานชิ้นแรก’ ของจริงที่เขียนด้วยลายมือซึ่งถูกเก็บไว้บนชั้นหนังสือออกมา…
แต่โชคไม่ดีที่ของสิ่งนี้คือปมในใจบนเส้นทางการเขียนของโจ้วชวนซึ่งแตะต้องไม่ได้
เพราะหนังสือเล่มนี้ ทำให้เขาสาบานว่าจะไม่เขียนนิยายโรแมนติกอีกต่อไป ดังนั้นผลงานหลังจากนั้นทั้งหมดล้วนเป็นแนวผู้ชายทั้งสิ้น
เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้เขากับพ่อไม่ลงรอยกัน ผลงานในมือก็ไม่ให้พ่อของเขาอ่านอีกต่อไป ถึงขั้นที่ว่าตอนแรกเริ่มที่โจ้วชวนยังไม่ดังขนาดนั้นก็ปฏิเสธที่จะให้โจ้วกู้เซวียนออกหน้าเขียนคำนิยมให้อย่างอวดดี
เขาถึงขั้นปฏิเสธไม่ให้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยติดคำห้าพยางค์ที่เรียบง่ายและไม่มีใครสนใจว่าจริงหรือไม่อย่างคำว่า ‘โจ้วกู้เซวียนแนะนำ’ ตอนที่กำลังโปรโมต…
ดังนั้นสุดท้ายแล้วโจ้วชวนจึงเลือกที่จะเงียบ