Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 1
ติงเซี่ยนได้สติกลับมา อยากตอบไปว่า ‘เธอก็ชมเกินไป’ แต่พอคิดดูอีกที ชมเกินไปอะไรกัน ฝ่ายนั้นยังไม่ได้ตอบรับเธอเลย เธอจึงได้แต่นั่งเอามือเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บนเตียง
อยู่ว่างๆ เบื่อๆ เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าอยู่ก็ชวนเธอคุยถึงเรื่องประสบการณ์ความรัก
“อย่าใจเสียไปเลย ครั้งแรกไม่ได้ เราก็ลองครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่ได้ ก็ครั้งที่สาม ครั้งที่สามไม่ได้ ก็ครั้งที่สี่ ฉันน่ะไม่เชื่อหรอกนะว่าดอกไม้สดแบบเธอจะปักลงบนกองขี้วัว* นั่นไม่สำเร็จ”
ในมหาวิทยาลัยสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่หนุ่มหล่อมีอยู่น้อยนิดเต็มเกลื่อนไปด้วยพวกคนโผงผาง เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าอยู่จึงคิดว่ารุ่นพี่ผู้ชายของติงเซี่ยนคนนั้นก็คงเป็นแค่ผู้ชายสายวิทย์ใส่แว่นตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง
สำหรับดอกบัวน้อยที่สดใสโดดเด่นอย่างติงเซี่ยนนับว่าเพียงพอที่จะคู่ควรกับเขาแล้วจริงๆ
ติงเซี่ยนก้มศีรษะกัดเล็บพลางพึมพำ
“เขาไม่ใช่ขี้วัวสักหน่อย”
เพื่อนร่วมห้องหูไวได้ยินเข้าก็ทำท่ารู้ทัน “รู้แล้วล่ะน่า รู้แล้ว รุ่นพี่ของเธอหล่อที่สุด หญิงสาวที่แอบหลงรักชายหนุ่มข้างเดียวมักจะเป็นพวกที่ไม่มีสุนทรียภาพ ขนาดคนที่เธอแอบรักแคะขี้มูก เธอก็จะรู้สึกว่าเขาโดดเด่นเหมือนลอยออกมาจากภาพวาดใช่มั้ยล่ะ”
เมื่อพูดจบเธอก็ชำเลืองมองติงเซี่ยนแวบหนึ่ง ส่วนติงเซี่ยนเริ่มฝึกโยคะบนเตียงเงียบๆ ตีลังกาขาพิงผนัง แขนทั้งสองข้างยันบนเตียง เสื้อยืดผ้าฝ้ายสีขาวตกลงจากช่วงเอวมาจนถึงแผ่นหลัง เผยให้เห็นกระดูกสันหลังที่ลึกลงไปและลักยิ้มของวีนัส[2] ที่ไม่ตื้นไม่ลึกทั้งสองข้าง
เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าสูดลมหายใจ “ยายตัวเล็ก ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย เธอมีของดีนี่นา ไม่เห็นยากอะไรเลย อย่างเธอนี่นะ ไปยืนต่อหน้าเขา สะบัดเสื้อผ้าออก เรื่องกล้วยๆ นิดเดียว”
“เคยถอดแล้ว ไม่ได้ผล” ติงเซี่ยนหลับตาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าก็คาดไม่ถึง แม้ว่าหน้าอกติงเซี่ยนจะไม่นับว่าใหญ่ แต่ของที่ควรมีก็มีหมด ไม่น่าจะถึงขั้นถูกปฏิเสธแบบนี้
สมัยนี้ยังมีผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาซึ่งหาได้ยากแบบนี้อยู่อีกเหรอ
เพื่อนร่วมห้องอ้าปากค้าง สมองคิดไม่ทันไปชั่วขณะ “เธอแก้ผ้าหน้าหอพักชายกลางวันแสกๆ เหรอ”
“ไม่ใช่” ติงเซี่ยนกลอกตาทีหนึ่ง
น่าจะเป็นตอนมัธยมศึกษาปีที่หก คุณยายของติงเซี่ยนป่วยหนัก พ่อไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาครึ่งปี พี่สาวคนโตโทรศัพท์มาจากต่างจังหวัดบอกว่าต้องจ้างพยาบาลมาดูแลคุณยาย ค่าดูแลเดือนละหนึ่งพันหยวน รวมกับพี่สาวน้องชายที่ต่างจังหวัดอีกสามคน แต่ละคนออกเงินกันคนละสองร้อยหยวนต่อเดือนก็พอดี
ในช่วงนั้นบ้านตระกูลติงตกอยู่ในช่วงชักหน้าไม่ถึงหลัง คุณพ่อติงเพิ่งถูกย้ายงานไม่ถึงสองปี เงินเดือนยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน ส่วนคุณแม่ติงก็เพิ่งตกงานและรองานใหม่อยู่ที่บ้าน ทั้งยังต้องจ่ายเงินผ่อนบ้านทุกเดือน บวกกับในบ้านยังมีน้องชายซึ่งเป็นปีศาจน้อยที่อยากซื้อโน่นได้นี่ สำหรับคุณแม่ติงแล้ว เงินสองร้อยหยวนนี้นับว่าเป็นเกล็ดน้ำค้างแข็งทับถมบนกองหิมะ* เลยทีเดียว
ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงหารือกันและตัดสินใจให้คุณแม่ของติงเซี่ยนกลับบ้านไปดูแลคุณยายสักพัก ในวันถัดมาแม่จึงพาติงเซี่ยนไปฝากให้บ้านตระกูลโจวดูแล จากนั้นก็พาลูกชายกลับต่างจังหวัดด้วยกัน
แม่จากไปครั้งนี้เป็นเวลารวมครึ่งปี
ติงเซี่ยนใช้เวลาช่วงเทอมหนึ่งของชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่บ้านตระกูลโจว คืนก่อนที่จะกลับต่างจังหวัดช่วงปิดภาคเรียนฤดูหนาว ทั้งสองทำข้อสอบอยู่ในห้อง
ที่จริงแล้วติงเซี่ยนทำข้อสอบอยู่ในห้องของโจวซือเยวี่ย ส่วนคุณชายโจวกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงในท่วงท่าเท่ๆ สบายๆ ขายาวข้างหนึ่งเหยียดตรง อีกข้างชันขึ้นมา ในมือกำลังเล่นเครื่องเล่นเกมเสี่ยวป้าหวัง** ตลอดเวลาที่เล่นเกม เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
ในเดือนมกราคม นอกกรุงปักกิ่งปกคลุมด้วยหิมะ ลมหนาวเย็นยะเยือก นอกหน้าต่างราวกับคลุมไว้ด้วยผ้าห่มขนแกะบางๆ
ติงเซี่ยนไหนเลยจะมีกะจิตกะใจทำข้อสอบ ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่เด็กหนุ่มด้านหลังที่ห่มผ้าห่มขนแกะ ทำข้อสอบอยู่นานก็ยังหยุดอยู่ที่ข้อสอง
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชายโจวเล่นเหนื่อยแล้วก็วางเครื่องเล่นเกมลงพลางนวดคอ แล้วเดินมาหยิบข้อสอบของเธอขึ้นมาตรวจ หลังจากนั้นก็เห็นกระดาษคำตอบที่ขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะข้างนอกเสียอีก
เขาไม่โมโห ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แค่ถามอย่างเย็นชา ‘ยังจะสอบเข้าชิงหวามั้ย’
ติงเซี่ยนรู้สึกว่าท่าทีที่เขามีต่อเธอไม่เหมือนที่มีต่อคนอื่น เมื่อวานตอนสอนดาวประจำชั้นเรียนก็ไม่เป็นแบบนี้ เขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งโน่นนี่นั่น เธอคิดแล้วก็โมโหขึ้นมาจึงโยนข้อสอบทิ้ง
‘ไม่สอบแล้ว’
พูดไปได้แค่ครึ่งคำ โจวซือเยวี่ยก็โน้มตัวลงมา มือจับเข้าที่ท้ายทอยเธอและดึงเข้าไปตรงหน้าเขา
ริมฝีปากนิ่มๆ อุ่นๆ ของเขาประทับลงมา เด็กหนุ่มค่อนข้างเงอะงะ เรียกได้ว่าไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย พอประกบกับริมฝีปากของเธอก็ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันอยู่อย่างงงๆ แบบนี้
โจวซือเยวี่ยเองก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันอยู่แบบนี้เป็นเวลาสามนาที
ติงเซี่ยนได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆ ของคุณชายโจว และเสียงดังตึกตักๆ ของหัวใจตัวเองที่แทบจะเต้นทะลุหน้าอกออกมาอย่างชัดเจน
ขนตาของโจวซือเยวี่ยยาวจนแทงคนตายได้ บริเวณเปลือกตาของติงเซี่ยนโดนปลายขนตาที่ทั้งหนาทั้งยาวของเขาสัมผัสจนคันยุบยิบ สะท้านไปถึงหัวใจ
นอกห้องเป็นแนวต้นการบูรเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ส่วนภายในห้องเต็มไปด้วยความรักภายในใจของหนุ่มสาวที่อ่อนประสบการณ์และความสับสนว้าวุ่นที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ทั้งสองคนไม่มีใครหลับตา ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยความตะลึงงัน ปากประกบปาก จมูกชนจมูก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
แล้วก็เป็นติงเซี่ยนที่เอ่ยปากก่อน ‘เอ่อ ต้องขยับสักหน่อยมั้ย’
ในโทรทัศน์เหมือนจะแสดงแบบนี้ หน้าชนกัน เชยคางของอีกฝ่าย และเอียงศีรษะไปอีกข้าง
‘เงียบไปเลย’ เด็กหนุ่มที่ใบหูแดงก่ำพูดขึ้น
หลังจากนั้นติงเซี่ยนก็รู้สึกเสียดายนับครั้งไม่ถ้วน
ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เธออยู่ใกล้โจวซือเยวี่ยมากที่สุด เด็กหนุ่มคนนี้บุคลิกเย็นชา หยิ่งทะนงฝังลึกถึงกระดูก ทั้งปากร้าย ทั้งชอบเข้มงวดกับเธอ จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ถ้ารู้อย่างนี้คืนนั้นควรจัดการเขาให้เรียบร้อยไปเลย!
ตอนที่ยังเด็กมากๆ พวกเราต่างเคยมีความฝัน เกี่ยวกับความมุ่งหวัง เกี่ยวกับความรัก
ทุกคนต่างคิดว่าตัวเองเป็นแมรี่ ซู* แต่ความจริงแล้วเป็นแค่เพียงสายฟ้าประดิษฐ์**
คนที่เธอคิดว่าใช่ความจริงแล้วไม่ได้ชอบเธอขนาดนั้น เพียงแต่พวกเราไม่ยอมตื่นขึ้นมาแล้วรับความจริงเท่านั้นเอง