เยี่ยหวั่นเสียนใช้ความสามารถในการประจบสอพลอเต็มที่ คอยเอาอกเอาใจคุณนายโจวอ้อมหน้าอ้อมหลัง คุณนายโจวเองก็ควงแขนเธออย่างสนิทชิดเชื้อเป็นธรรมชาติและพูดกับเธออย่างสุภาพ
“วันนี้บ้านคุณพาเด็กๆ มาด้วยพอดี งั้นเชิญทุกคนอยู่กินข้าวด้วยกันเถอะนะคะ”
เยี่ยหวั่นเสียนยิ่งกว่ารอคอยสิ่งนี้ แต่แสร้งทำเป็นพูดอย่างเกรงใจ “จะรบกวนพวกคุณมากเกินไปหรือเปล่าคะ”
คุณนายโจวยิ้มพลางโบกมือ “รบกวนอะไรกัน ก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกไม่กี่คู่เอง เป็นเพื่อนนักเรียนมัธยมเยี่ยนซานของซือเยวี่ยทั้งนั้น จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกันเอาไว้หน่อย”
“ใช่ค่ะๆ” เมื่อพูดจบเยี่ยหวั่นเสียนก็ดึงติงเซี่ยนเข้ามา “เซี่ยนเซี่ยน นี่คือคุณป้าโจวที่แม่เคยพูดให้ลูกฟังบ่อยๆ ไงจ๊ะ”
ติงเซี่ยนมองคุณนายโจวเงียบๆ กำลังคิดว่าถ้าในตอนนี้เธอพูดว่า “ความจริงแล้วแม่ไม่เคยพูดถึงคุณเลยค่ะ” เยี่ยหวั่นเสียนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
แต่คุณนายโจวเป็นคนน่ารักอ่อนโยน ติงเซี่ยนจึงสงบปากสงบคำไว้ชั่วคราวและยิ้มอย่างน่ารัก
“คุณป้าโจว สวัสดีค่ะ ได้ยินแม่พูดถึงคุณป้าอยู่บ่อยๆ เลยค่ะ”
สัญลักษณ์ของช่วงต่อต้านข้อแรกคือโกหกโดยไม่กะพริบตา
คุณนายโจวลูบศีรษะเธอ “เด็กดี”
แม่บ้านทำอาหารเสร็จแล้ว คุณนายโจวพาติงเซี่ยน น้องชายเธอ และแม่มานั่งที่โต๊ะอาหาร
เด็กผู้หญิงสวมหมวกติดดอกไม้วิ่งนำลงมาจากบันไดเป็นคนแรก พอเห็นติงเซี่ยนก็อึ้งไป ก่อนจะยิ้มและหาที่นั่งนั่งลง
“คุณน้าคะ พี่สาวคนนี้คือใครคะ”
คุณนายโจวกล่าว “เป็นเพื่อนของพี่ซือเยวี่ยของหนูไงล่ะจ๊ะ ชื่อติงเซี่ยน”
เด็กผู้หญิงคนนั้นใบหน้ากลม ผิวขาวเนียน หน้าตาสวยมาก เธอนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหารห่างจากติงเซี่ยนครึ่งโต๊ะแล้วหันมาโบกมือให้
“สวัสดีค่ะพี่ ฉันชื่อซ่งอี๋จิ่น”
ซ่งอี๋จิ่นน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ติงเซี่ยนเคยเห็นมา สวยกว่าเด็กผู้หญิงที่ว่าสวยที่สุดในโรงเรียนเก่าของติงเซี่ยนเสียอีก
เธอโบกมือเช่นกัน ทำสีหน้าท่าทางที่ตัวเองคิดว่าเป็นมิตรที่สุด ยิ้มออกมาเล็กน้อย “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อติงเซี่ยน”
ซ่งอี๋จิ่นเก็บมือกลับมาและชมเธอ “พี่ผอมจังเลย”
ติงเซี่ยนตอบกลับ “เธอก็สวยมากจ้ะ”
เด็กกำลังโตสองคนรู้จักมารยาทการพูดจาเยินยอกันบนโต๊ะอาหารเหมือนในโลกของผู้ใหญ่ ทำเอาคุณนายโจวกับแม่ของติงเซี่ยนหัวเราะไม่หยุด
แต่พวกเธอไม่รู้ว่าในโลกของติงเซี่ยนกับซ่งอี๋จิ่น ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่แล้ว
คุณนายโจวยิ้ม “เอาล่ะ พอแล้ว เด็กน้อยสองคนนี้มาเลียนแบบคำพูดอะไรของผู้ใหญ่กันจ๊ะ”
แม่ติงเซี่ยนเสริม “เด็กสมัยนี้โตไวเหลือเกิน”
แม้ว่าผู้ใหญ่จะพูดเช่นนั้น ซ่งอี๋จิ่นกับติงเซี่ยนกลับยิ้มให้กัน นี่เป็นความลับของการเติบโต
ติงเซี่ยนเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือ…
ผู้ใหญ่มักจะมองว่าพวกเธอเป็นเด็กน้อย เพราะว่าพวกเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว
ผ่านไปสิบนาทียังมีคนไม่ลงมา คุณนายโจวเริ่มหงุดหงิด “อี๋จิ่น ทำไมพวกเขายังไม่ลงมา”
“พวกพี่เจี่ยงเฉินยังเล่นเกมอยู่ค่ะ หนูหิวก็เลยลงมาก่อน ส่วนพี่ซือเยวี่ยยังนอนอยู่ ปลุกไม่ยอมตื่นค่ะ ทำไมเขานอนซมเป็นหมาทุกวันเลย…”
เธอพูดจบก็รู้สึกตัวทันที เผลอปากไวไปหน่อย ตีอกชกลมว่าตัวเองไม่น่าพูดจาไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ลืมไปว่าต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องมีมารยาท ซ่งอี๋จิ่นจึงแลบลิ้น ทำตัวไม่ถูก
คุณนายโจวเกาศีรษะพลางต่อว่า “ทำไมหนูพูดแต่คำหยาบทั้งวี่ทั้งวันเลย”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องพักแขกชั้นบนก็เปิดออก มีเสียงคนพูดดังขึ้น ซ่งอี๋จิ่นส่งเสียงบอก
“อ๊ะ พวกพี่เจี่ยงเฉินลงมาแล้ว”
คุณนายโจวจึงตะโกนขึ้นไปชั้นบน “อาเฉิน!”
เสียงพูดคุยของคนสองสามคนหยุดลง จากนั้นเสียงสดใสของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น “อยู่นี่ครับ”
“เธอไปเรียกซือเยวี่ยหน่อย เด็กคนนี้นอนจนใกล้จะตายแล้ว พวกเรารอเขามากินข้าวอยู่ ส่วนคนอื่นไปล้างมือแล้วลงมากินข้าวนะจ๊ะ”
“รับทราบครับ’ เจี่ยงเฉินเพิ่งชนะไปสองเกมจึงอารมณ์ดีสุดๆ ‘คุณน้ารอแป๊บนึงนะครับ ผมจะไปลากตัวเขาลงมาให้ครับ”
ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงทุบประตูจากชั้นบนดังปังๆๆ ตามมาด้วยเสียงห้าวแบบเด็กหนุ่มของเจี่ยงเฉิน แถมเขายังทำเสียงเหมือนผู้ประกาศข่าว
“อาเยวี่ย! ตื่นได้แล้ว!! แม่นายเรียกกินข้าว!!” ดูเหมือนเจี่ยงเฉินไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย “เปิดประตู! เปิดประตู!!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดติงเซี่ยนถึงรู้สึกตื่นเต้น เธอสงบลมหายใจฟังเสียงจากชั้นบน
พูดตามตรงเธอเองก็อยากรู้จักคุณชายน้อยคนนั้นเหมือนกัน สามีภรรยาตระกูลโจวที่มียีนฟ้าประทานขนาดนี้ จะมีลูกออกมาฟ้าประทานขนาดไหน
ทันใดนั้นชั้นบนก็เงียบไปสามวินาที